0

พี่เสือ…ธรรมชาติที่งดงามกับความทรงจำที่ขมขื่น (กัมพูชา Part 2)

วันที่ 7 รัตนคีรี-มณฑลคีรี

เช้านี้พวกเรามาเติมอาหารเช้าที่ร้านดังที่สุดในเมืองรัตนคีรี ด้วยข้าวหมูย่างและกาแฟร้อนๆ เพื่อให้มีพลังงานมุ่งหน้า  สู่สวิตเซอร์แลนด์กัมพูชา “มณฑลคีรี” เส้นทางในวันนี้ ต้องบอกว่าสวยงามมากๆ ครับ ถนนสองเลนสวนเล็กๆ ผิวถนนดี ไม่เสียหายเยอะ เส้นทางขึ้น-ลงเขารถน้อยวิ่งกันสบายๆเลยครับ อากาศเย็นๆเริ่มพัดเข้ามาปะทะร่างกายของ เบื้องหน้ามีเมฆฝนก้อนใหญ่รออยู่เลยครับ พวกเราจึงจอดรถเตรียมพร้อมใส่ชุดกันฝนและก็ได้เจอกันอย่างสมใจ ฝนถล่มมาแบบแทบจะมองไม่เห็นเส้นทางกันเลย ต้องใช้ความเร็วต่ำ ค่อยๆขี่ฝ่าสายฝนกันไปแต่พี่เสือของพวกเราสามารถลุยฝนกันได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่มีอาการเสียการทรงตัว เรามาแวะทานข้าวและหลบฝนกันบนยอดเขาก่อนที่จะถึงเมืองมณฑลคีรีประมาณ 15 กิโลเมตรถือว่าเป็นร้านที่รับแขกได้เลยครับ วิวสวยมากๆ นั่งดริฟกาแฟร้อนๆ ให้ร่างกายได้อุ่นขึ้นกันสักหน่อยช่วยได้เยอะทีเดียว สายฝนเริ่มบางลงพวกเราขี่รถเข้าไปสู่น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกัมพูชา น้ำตกโบสรา สวยงามมีสองชั้นในช่วงนี้น้ำเยอะสีจะแดงๆสักหน่อยเพราะว่าฝนก็เพิ่งตกมาอีกต่างหาก เราขี่รถลุยฝนเข้าสู่ เมืองมลฑลคีรีแบบเปียกปอนเพราะมีพายุเข้ามาทางนี้พอดีทำให้เมืองมณฑลคีรีมีฝนตกตลอดทั้งคืนจนถึงตอนเช้า

วันที่ 9 กัมปงจามพนมเปญ

พวกเราต้องใส่ชุดกันฝนกันแต่เช้าเลยครับเพราะว่า ฝนตกลงมาอย่างหนักและก็ต้องออกเดินทางกันแล้ว ขี่ออกมาจากโรงแรมไม่ไกลแวะทานอาหารเช้ากันก่อน พอเติมพลังแล้วก็ลุยครับผม  ระยะทางนั้นไม่ไกลมากสำหรับ กัมปงจามถึงกรุงพนมเปญและก่อนจะถึงกรุงพนมเปญเราก็ได้เจอกับถนน 4 เลนครั้งแรกในประเทศนี้เลยครับจึงเริ่มเข้าสู่ความวุ่นวายกันสักหน่อย สำหรับเมืองหลวงกรุงพนมเปญรถจะเยอะและมีรถติดเหมือนกัน เราเข้ามาถึงที่พักซึ่งอยู่ใจกลางเมืองและพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ส่วนช่วงเย็นเราพากันออกไปขี่รถเล่น ชมวิวริมแม่น้ำโขง ส่งตะวันกลับบ้านกันที่พนมเปญและทานอาหารแบบบุฟเฟ่ อิ่มอร่อยไปตามๆกัน

วันที่ 10 กรุงพนมเปญกรุงแก๊ป

หลังจากอาหารเช้าแล้ว วัยรุ่นโอ ได้พาทีมพี่เสือไปเรียนรู้เกี่ยวกับอดีตที่ขมขื่นของชาวกัมพูชาที่บริเวณคุกตวลสเลง ตวล สเลง เป็นชื่อของคุกสมัยที่เขมรแดงครองประเทศ ดั้งเดิมคุกนั้นเป็นโรงเรียนมาก่อน ตวล สเลง มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า S-21 (Security Office 21) ใช้กักขังและขู่เข็ญคนที่คิดว่าเป็นศัตรูหรือเป็นกบฏต่อประเทศชาติและรัฐบาลทุกภูมิภาค ทุกระดับชั้น รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านโดยจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้ถูกคุมขังสารภาพผิดและลงท้ายด้วยการฆ่า จุดหมายปลายทางของนักโทษทุกคนในนี้ทางเดียวที่จะออกไปจากคุกแห่งนี้คือ การสิ้นลมหายใจเพราะกว่าจะถึงเวลาได้ออกไปนั้นต้องเผชิญกับการกระทำที่ทารุณ โดยเหล่าบรรดานักโทษจะถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ  พวกเราตอนก่อนเข้าไปกับหลังจากออกมา อารมณ์เปลี่ยนไปเลยครับ รู้สึกเศร้า ถึงการสูญเสียของพี่น้องชาวกัมพูชาในครั้งนี้ คนในชาติเดียวกันทำกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ? แต่ความเศร้ายังไม่สิ้นสุดครับ วัยรุ่นโอยังได้พาพวกเราไปยัง ทุ่งสังหาร อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดถ้ามาพนมเปญ ทุ่งสังหารเจิงเอก (Choeung Ek The Killing Field) ตั้งอยู่ที่เมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นหนึ่งในสถานที่แห่งประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดของประเทศกัมพูชาและยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งบอกเล่าความทรงจำของอดีตแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนอีกด้วย โดยทุ่งสังหารเจิงเอกนี้เป็นสถานที่ที่เชื่อว่ามีผู้คนเสียชีวิตมากที่สุดจากเหตุการณ์ในช่วงที่เขมรแดงปกครองประเทศกัมพูชาระหว่างปี 1975 – 1979 ประมาณการณ์จากเศษของโครงกระดูกที่ขุดพบมากกว่า 8,000 ชิ้น รวมถึงกระดูกชิ้นเล็กๆอีกมากมายทำให้เชื่อได้ว่ามีผู้เสียชีวิตที่นี่ไม่ต่ำกว่า 17,000 คนแม้ทุกวันนี้ทุ่งสังหารจะเป็นท้องทุ่งที่ร่มรื่นดูสบายตา แต่ความจริงแล้วใต้พื้นดิน  สีเขียวขจีของสถานที่แห่งนี้ยังมีร่างของอดีตประชาชนชาวกัมพูชาที่ถูกสังหารในช่วงเวลาดังกล่าวซุกซ่อนไว้อีกมากมาย และรัฐบาลของประเทศกัมพูชาได้ออกมาประกาศแล้วว่าจะไม่มีการขุดค้นมากกว่านี้เพื่อให้ผู้เสียชีวิตได้พักผ่อนอย่างสงบ สำหรับวันนี้เป็นครึ่งวันแห่งความสูญเสียเลยครับ พวกเรายืนไว้อาลัยให้กับพี่น้องชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ …ถนนในภาคใต้ของประเทศนี้เรียกได้ว่า กำลังพัฒนากันเลยครับ ทุกๆเส้นทางกำลังถูกขยาย พวกเราต้องผจญภัยกับสภาพถนนที่ย่ำแย่สุดๆ แถมฝนยังคงตกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงบ่ายของวันนี้ ระยะทางแค่ร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้นแต่พวกเราต้องใช้เวลากันหลายชั่วโมง ลุยฝนกันจนมาถึงกรุงแกร๊ป ยังดีที่สถานที่พักกับร้านอาหารริมทะเลของพวกเราอยู่ไม่ไกลกัน เดินแค่ไม่กี่สิบเมตรก็ถึงแล้วครับ ที่สำคัญคือ มื้อนี้พวกเราจัดเต็มกับอาหารทะเลสดๆ แต่ขอบอกว่าราคาย่อมเยาจริงๆ อิ่มอร่อย นอนหลับสบายเลยครับ

วันที่ 11 กรุงแกร๊ป – พนมโบโก

เช้านี้ออกมาเดินเล่นริมทะเลซึ่งเป็นตลาดปู ที่ปูเยอะมากๆ และสดๆ ราคาถูกจริงๆครับ เดินกันเพลินเลยล่ะ เราพากันบันทึกภาพกับปูริมทะเลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ก่อนที่จะเดินทางมุ่งหน้าสู่ เมืองกัมโปต ต้องบอกเลยครับว่าเส้นทางจากกรุงแกร๊ปสู่เมืองกัมโปตนั้น โหดร้ายเสียเหลือเกินด้วยสภาพถนนที่เสีย ระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร เราต้องค่อยๆหยอดกันมา ทีละหลุมๆ จนผ่านพ้นอุปสรรคมาได้ด้วยดี มาถึงเมืองกัมโปตแล้ว จุดเด่นของที่นี่คือทุเรียนครับ ที่นี่จะมีทุเรียนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วประเทศกัมพูชา พวกเราจึงต้องแวะจัดหากันสักหน่อยครับ และขี่รถเล่น ผ่านสะพานเหล็กโบราณข้ามแม่น้ำกัมโปตก่อนที่จะเดินทางมาถึงตีนเขา พนมโบโก ระยะทางจากพื้นราบถึงยอดเขาพนมโบโกแค่  30 กว่ากิโลเมตร สภาพถนนดีมากๆ เส้นทางสวย วิวสวย ระหว่างทางเราเจอกับน้ำตกซึ่งถือว่า โชคดีมากๆครับ เพราะต้องมาในช่วงฤดูฝนเท่านั้นถึงจะได้สัมผัสกับน้ำตกข้างๆแบบนี้ ก่อนที่จะถึงยอดเขาพนมโบโกอีกเพียงไม่เกิน 10 กม. ก็มีหมอกลงมาปกคลุมบริเวณยอดเขาอย่างหนาแน่น ระยะมองเห็นแค่ไม่เกิน 5 เมตรครับ พวกเราต้องลดความเร็วและค่อยๆขี่เกาะกันไป แต่ปรากฏว่าที่พักของพวกเราหายไปครับเพราะหมอกหนาจริงๆ ทำเอาโรงแรมหายไปกับตาเลยทั้งๆ ที่โรงแรมนั้นก็ใหญ่มากๆด้วย แต่ในที่สุดเราก็เจอกับทางเข้าโรงแรมจนได้ ซึ่งหมอกลงมาปกคลุมตลอดเวลาจนถึงค่ำคืนทำให้พวกเราเลยต้องอยู่กันแต่ในโรงแรมเท่านั้น

วันที่ 12 พนมโบโกกัมปงชนัง

อาหารจัดเบาๆ กลับบรรยากาศสายหมอกที่ยังคงมาอย่างต่อเนื่องทำให้เราใช้เวลาอยู่บนพนมโบโก เพื่อเที่ยวชมสถานที่ต่างๆแบบไม่ต้องรีบเร่ง แต่ก่อนที่จะลงจากพนมโบโก พวกเราต้องใส่ชุดกันฝนลงมาเลยนะครับ เพราะจากหมอกก็เปลี่ยนเป็นฝนลงมาแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวที่สำคัญ เส้นทางจากเมืองกัมโปต มุ่งหน้าสู่กรุงพนมเปญประมาณ 20 กิโลเมตรนั้น ถนนโคตรสุดเลยครับท่าน เสียทั้งเส้นเตรียมตัวขยายถนนกันอีกแล้วด้วย โอ้วแม่เจ้า สุดติ่งจริงๆ พวกเราเลือกถนนเส้นรองเพื่อเลี่ยงกรุงพนมเปญแล้วค่อยเข้าสู่ถนนเส้นทางที่จะไปสู่เมืองกัมปงชนัง ซึ่งคือจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ แต่ก่อนที่จะถึงเมืองกัมปงชนัง เราได้ผ่านวิกฤตของการเดินทางคือ โรงงานอุตสาหกรรมเลิกพร้อมกัน คนงานเป็นหมื่นคนต้องกลับบ้าน ทำให้การจราจรติดขัดทั่วไปหมด กว่าเราจะหลุดพ้นออกมาได้ “เสียเหงื่อ” กันไปหลายปี๊ปเลยล่ะครับ แต่ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองเล็กๆ กัมปงชนังได้อย่างปลอดภัย

วันที่ 13 กัมปงชนังพระตะบอง

เช้านี้พวกเราแวะมาในตลาดกัมปงชนัง เพื่อทานอาหารเช้าที่แสนคุ้นเคยของพวกเรากันครับ อิ่มท้องแล้วก็เดินทางต่อ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง เมืองพระตะบอง กันอย่างปลอดภัยครับ  ถ่ายรูปกับวงเวียนที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้กันก่อนแล้วค่อยแวะทานข้าวก่อนเข้าที่พักครับ บ่ายวันนี้ฝนตกแบบว่า ยาวเลย ตกกันจนถึงช่วงเย็น โชคดีที่ยังพอมีช่วงเวลาสั้นๆ ให้พวกเราขี่รถเล่นไปถ่ายรูปกับสถานที่ของเมืองพระตะบองก่อนที่ฝนจะเทลงมาแบบยาวไปจนถึงค่ำคืน

    วันที่ 14 พระตะบองกรุงเทพฯ

อาหารเช้าที่คุ้นเคยของพวกเราเช่นเคยและกาแฟร้อนๆ ได้ตกถึงท้องเป็นที่เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วัยรุ่นโอ ก็พาเราไปที่สถานีรถไฟไม้ไผ่เจ้าเก่าแก่เลยครับ เราได้ลงไปนั่งบนรถไฟไม้ไผ่ที่ชาวกัมพูชาเรียกว่า โนรี” (Norry หรือ Nori) ที่สถานีรถไฟในชุมชนอุดัมบัง (Odambang) จังหวัดพระตะบอง ชาวกัมพูชากลุ่มหนึ่งยังหาเลี้ยงชีพด้วยการให้บริการ รถไฟไม้ไผ่” (Bamboo train) ที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างง่ายตามภูมิปัญญาท้องถิ่น เพียงตัดไม้ไผ่ทำแคร่อุปโลกน์เป็นตัวรถไฟ ขัดสานตอกไผ่เป็นที่นั่ง เชื่อมต่อเข้ากับชุดล้อโลหะ แล้วติดเครื่องซึ่งดัดแปลงจากเครื่องยนต์ของเรือ เท่านี้ก็พร้อมโลดแล่นไปตามรางรถไฟสายโบราณ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร ไปกลับนะครับ รถไฟไม้ไผ่ภูมิปัญญาชาวบ้าน ซึ่งถือว่า เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองพระตะบอง หลังจากพวกเราอิ่มเอมกับรถไฟไม้ไผ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอเก็บภาพกับอีกหนึ่งสถานที่คือ อาคารอภัยภูเบศ ซึ่งถือว่าเป็นอาคารเก่าแก่และเป็นสถานที่สำคัญของเมืองพระตะบอง หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มเดินทางจากเมืองพระตะบอง แต่ถนนที่กำลังถูกขยายออกเป็น 4 เลน ทำให้สภาพนั้นแย่แบบยาวๆ จนถึงเมืองศรีโสภณ แต่พวกเราก็ผ่านเส้นทางแย่ๆมาได้ด้วยดีครับและจากเมืองศรีโสภณ มุ่งหน้าสู่ปอยเปตอีกประมาณ 50 กิโลเมตรเราก็มาถึงด่านศุลกากร แจ้งเรื่องนำรถออกและไปสแต๊มพาสปอตออกจากประเทศกัมพูชา เมื่อขี่มาถึงด่านไทยก็แจ้งเรื่องและแสต๊มปเข้าสู่ประเทศไทย พวกเราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันก่อนที่จะออกจากด่านไทย ถือได้ว่าเป็นอันปิดทริปขี่รอบประเทศกัมพูชากันอย่างสวยงาม และหลังจากนั้นก็แวะทานข้าวกันก่อนที่จะต้องใส่ชุดกันฝนขี่เข้ามาจนถึงกรุงเทพฯ อย่างปลดภัยกันทุกคนครับ เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจ 14 วันในประเทศกัมพูชาอย่างสมบูรณ์แบบ ได้เห็นอารยธรรมเก่าแก่ วิถีชีวิตธรรมชาติและความขมขื่นของคนประเทศ กัมพูชากันอย่างเต็มอิ่มนะครับ

ต้องยอมรับว่า เจ้า Scomadi TT200i คู่ใจพวกเราทุกๆคนได้ผ่านการทดสอบแบบจริงจัง และพบเจอกับสภาพถนนในทุกรูปแบบ สภาพอากาศก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่พี่เสือก็สามารถพาพวกเรา ไปและกลับมาถึงบ้านกันได้อย่างปลอดภัย ขอปรบมือให้เจ้า Scomadi TT200i ทุกๆ คันด้วยครับ

(WORD/PICS BY PAIROJ JAMNANSIL)/Fast Bikes Thailand Magazine Issue 081

 

Related