0

2022 Pan America™ 1250 Special

ช่วงเวลาเกือบสองปีมานี้ ถ้าจะบอกว่า Pan America เป็นรถแอดเวนเจอร์ที่ผมคุ้นเคยมากที่สุดรุ่นหนึ่งก็คงไม่ผิด ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2021 ผมมีโอกาสได้จับสายลุยจาก Harley-Davidson รุ่นนี้ มาขับขี่อยู่หลายครั้ง ทดสอบรีวิวทั้งรุ่น Special และตัวธรรมดา ในเส้นทางเกือบทุกรูปแบบทั้ง บนถนน ทางฝุ่น ในครอส off-road รวมถึงออกทริปทางไกล

วันนี้ Fast Bikes Thailand ของเรากลับมาอยู่กับ Pan America™ 1250 Special อีกครั้ง แต่เป็นตัว 2022 ที่มาในสีใหม่และได้รับการปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์-ซอฟท์แวร์เพิ่มเติม อะไรคือสิ่งที่ทำให้มันเป็นรถแอดเวนเจอร์ที่ขายดีที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ และได้รับรางวัล Best Adventure Bike ในหลายประเทศ มีรายละเอียดตรงไหนจุดไหนที่น่าสนใจ แตกต่างจากแอดเวนเจอร์รุ่นอื่นยังไง ไปติดตามรายละเอียดกันเลยครับ…

โดยรวม

แน่นอนว่ามันดูแตกต่างจากรถที่ทาง Harley-Davidson ทำออกมาในช่วงหนึ่งทศวรรษให้หลังอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง แนวทางของดีไซน์ เครื่องยนต์กลไก รวมถึงกลิ่นอายและเทคโนโลยีร่วมสมัยที่นำมาใส่เข้าไป

ความสูง ความยาว ท่าทางในการขับขี่ควบคุม การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ Revolution Max ที่หลอมรวมทุกอย่างไว้ในเครื่องแบบ Unit-Construction ก่อให้เกิดความกระชับ กะทัดรัดและมาพร้อมเทคโนโลยีแบบจัดเต็ม ซึ่งเป็นการ ‘ปฏิวัติ’ และปูทางไปสู่ไลน์อัพที่ตามมาอย่าง Sportster S และ Nightster เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยให้อารมณ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากเครื่อง V 45° ก้านกระทุ้ง ที่วางระบบส่งกำลัง ชุดเกียร์ ชุดคลัตช์แยกส่วนออกจากแครงค์เครื่อง

ช่วง 2-3 ปีมานี้ จะสังเกตว่า H-D เน้นเรื่องการทำสีสันของตัวรถให้ออกมาดูสดใส มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ให้ดึงดูดผู้ใช้ยุคใหม่ Pan America เองก็เช่นกัน รถแอดเวนเจอร์ที่เปิดตัวมาในสีดำกับสีเทาในรุ่นธรรมดา และสีส้มที่ดูจี๊ดจ๊าดเตะตาขึ้นมาอีกหน่อยในรุ่น Special กลับมาอีกครั้งในปี 2022 พร้อมสีน้ำเงินสดใส Fastback Blue/White Sand นอกจากนี้เรือนไมล์สี TFT ยังได้รับการปรับเลย์เอาท์ใหม่ให้อ่านข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์และฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่ได้รับการขัดเกลาให้ทำงานได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะ Hill Hold Control ระบบป้องกันรถไหลเมื่อขึ้นทางลาดชัน ซึ่งขยายเวลาทำงานจาก 10 วินาที เป็น 3-5 นาที

User-friendly จะเตี้ยจะสูงก็ขี่ได้สบาย

ถึง Pan America จะดูเป็นรถที่มีความเล็ก คอด กระชับ เนื่องจากเครื่องยนต์ V-twin 60° 1,252 ซีซี ที่วางอยู่กึ่งกลางของตัวรถ แต่ระดับความสูงเบาะ 890 มม. ระยะฐานล้อ 1,585 มม. และน้ำหนักพร้อมขี่ที่ 258 กก. ก็ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกเบาหรือสูงยาวน้อยกว่ารถแอดเวนเจอร์ยี่ห้ออื่นเท่าไหร่นัก

นอกจากเรื่องของระบบกันสะเทือนไฟฟ้า Semi-Active ที่ปรับค่าความหนืดของโช้คระหว่างขับขี่ให้เหมาะกับ Riding Mode ที่เลือกแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นออฟชั่นที่รถแอดเวนเจอร์ระดับท็อปนิยมมีแล้ว สิ่งที่ทำให้ Pan Am “แตกต่าง” และทำให้มันกลายเป็นรถประเภทนี้ที่มีความเป็นมิตรต่อผู้ขับขี่สูงมากก็คือ ระบบ Adaptive Ride Height (ARH) ซึ่งเป็นระบบลดความสูงของกันสะเทือนหลังให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ ทำให้รถเตี้ยลงสอดคล้องกับความต้องการในการใช้งาน โดยหากปรับไว้ที่ Auto ระบบจะเริ่มทำงานทันทีเมื่อเรากด Ignition switch ซึ่งจะทำให้โช้คหลังเตี้ยลง 3-5 นิ้ว และลดความสูงเบาะลงเหลือเพียง 855 มม. (คนสูง 175 ซม. คร่อมแล้วเท้าเกือบจะเหยียบพื้นเต็ม ๆ ได้ทั้งสองข้าง) ทำให้เราสามารถคร่อมรถได้สบาย

ขณะขับขี่  ARH จะทำการลดความสูงของโช้คหลังลงอัตโนมัติเมื่อความเร็วที่ใช้ต่ำกว่า 25-30 กม./ชม. และค่อย ๆ เพิ่มความสูงขึ้นเมื่อความเร็วพ้นช่วงดังกล่าวไปแล้ว โดยทำการประมวลผลจากความเร็วรถ แรงดันเบรกหน้าและอัตราการลดความเร็ว ซึ่งช่วยได้มากเวลาต้องขี่ในการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่น เมื่อจำเป็นต้องมุด ซ้าย-ขวา ก็สามารถใช้เท้าพายได้ทั้งสองด้าน หรือเวลาลุยในทางฝุ่นแล้วต้องการหยุดรถ เมื่อเบรกให้รอบเครื่อง/ความเร็วตกลงต่ำ เบาะก็จะเตี้ยลงให้เราจอดได้ทุกที่อย่างไม่ต้องกังวล

โครงสร้างหลัก แข็งแรง มั่นคง

ฮาร์ลีย์เลือกใช้เฟรมแบบ Trellis ที่ผลิตจากเหล็กกล้าผสมความแข็งแรงสูงซึ่งมีน้ำหนักเบา ควบคู่ไปกับการใช้เครื่องยนต์เป็นส่วนหนึ่งของเฟรม (Stressed member) ในการช่วยส่งผ่านแรงกระแทกและแรงบิดเพื่อความเสถียร มั่นคงของโครงสร้าง โช้คหน้าหัวกลับขนาดแกน 47 มม. และโช้คหลังเดี่ยวพร้อมกระเดื่องทดแรง ทำงานร่วมกับระบบปรับไฟฟ้า Semi-active และระบบ ARH ขณะที่ล้อหน้า-หลังไซส์ 120/70R19-170/60R17 เป็นล้อซี่ลวดอลูมิเนียมหล่อน้ำหนักเบาซึ่งให้ตัวได้ดีบนทางฝุ่นและรัดมาด้วยยางแบบ Tubeless

องศาคอวางมาค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับรถครุยเซอร์ของทางค่าย โดยกำหนดมาให้มุมเรคอยู่ที่ 25° ส่วนความลาดเอียงของกันสะเทือนหน้า (ระยะ Trail) อยู่ที่ 109.22 มม. ซึ่งสมเหตุสมผลเพราะ Pan เป็นรถสายลุยเลยต้องการมุมเลี้ยวที่แคบ เร็ว กระชับฉับไวเป็นพิเศษ ถ้ากลัวว่าเลี้ยวเร็วเกินไปแล้วหน้าจะไถลเขาก็มีกันสะบัดติดมาให้ด้วย โดยเราสามารถปรับตั้งเพิ่มความตึง/หย่อนได้ตามต้องการ จากที่ขับขี่มาพบว่าถ้าลมยางที่ใช้ตรงตามสเปค ค่าเดิมที่ให้มานั้นเหมาะสมพอดีทั้งการขับขี่ใช้งานบนทางดำและทางฝุ่น แต่ถ้าต้องการลุยโหด กระแทกคันเร่งเร็ว ๆ สาดโค้งบนทางฝุ่นไม่เรียบ งั้นก็ต้องปรับให้หนืดขึ้นตามระดับดีกรีในการใช้งาน

สำหรับลายลุยก็ไม่ต้องกังวลว่าระบบ Adaptive Ride Height จะทำให้โช้คยุบจนหมดสโตรก เพราะเวลาลุยจริง ๆ เช่นโดดเนินหรือวิ่งรูดหลุมในความเร็ว รอบเครื่อง/ความเร็ว มันเกินช่วงที่ระบบจะลดความสูงของโช้คหลัง เราเลยได้ระยะ Travel ของโช้คไว้ใช้เต็ม ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวลขี่ได้อย่างเต็มที่ เมื่อกำเบรกหนักและลดความเร็วลงอย่างเฉียบพลันเพื่อต้องการจอดต่างหากระบบถึงจะทำงาน หรือหากใครคิดว่ามันยังไม่ลงตัว เขาก็มีให้ปรับเพิ่มเติมเป็น Short delay, Long Delay ให้ใช้เวลานานขึ้นหน่อยกว่าจะตอบสนอง หรือ Lock at ride height คือล็อคความสูงไว้ไปเลย อันนี้ใครถนัดแบบไหนก็เลือกได้ตามชอบ

ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ครบจบ จัดเต็ม

ด้วยความที่เป็นโปรเจ็คซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาและตกผลึกกว่า 3 ปี จึงเรียกได้ว่า ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน นั้น ทำการบ้านมาอย่างหนักหน่วงและรวบรวมเอาข้อดี รวมถึงระบบ/ฟังก์ชั่น ต่าง ๆ ที่รถแอดเวนเจอร์เรือธงพึงมี มาไว้ใน Pan America ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมมันได้อย่างปลอดภัย สะดวกสบายและง่ายต่อการใช้งาน

เริ่มต้นด้วยชุดเซ็นเซอร์ IMU แบบ 6 แกน ที่คอยจับทิศทางรอบคัน ซึ่งเป็นตัวที่ทำงานประสานกับระบบอื่น ๆ ทั้งหมดในการควบคุมอัตราเร่ง กำลัง แรงดันเบรก บาลานซ์หน้า-หลัง ฯลฯ ไม่ว่าตัวรถจะวิ่งบนทางตรง ขึ้น-ลงทางลาดชัน หรือเอียงอยู่ในองศามุมเลี้ยว จริง ๆ แล้วการใช้งานมันง่ายมาก สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการปรับตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ เราไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ขอแค่ปรับ Riding Mode ไว้ให้ตรงกับรูปแบบการใช้งานเป็นพอ นอกนั้นระบบจะทำการปรับค่าความหนืดของระบบกันสะเทือน ระดับ Traction control และอื่น ๆ ให้สอดคล้องเอง เพราะมันลิงค์กันหมด

จากบรรดาโหมดขับขี่ทั้งหมด (Sport, Road, Rain, Off-road และ Off-road Plus) สปอร์ตคือโหมดที่ให้ม้าและเพอร์ฟอร์แมนซ์มาเต็มมากที่สุด คันเร่งตอบรับตรง ฉับไว ในขณะที่ระบบ C-TCS หรือแทร็คชั่นคอนโทรล ถูกลดไว้ในระดับต่ำเพื่อให้เราสามารถตวัดคันเร่งได้อย่างเต็มที่ถึงใจ พร้อมโช้คถูกเซ็ตไว้ให้มีความหนืดสูงรับกัน พอถึงทางฝุ่น เราก็แค่ปรับรถไว้ในโหมด Off-road ซึ่งเป็นโหมดที่ปรับการส่งกำลังและทอร์คเอาไว้ในเกณฑ์กลาง ๆ พร้อมลดแรงม้าและแรงบิดในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง ๆ ให้เราสามารถใช้คันเร่งบนทางฝุ่นได้อย่างเต็มที่ ส่วนใครที่โปรขึ้นไปอีกก็สามารถตั้งรถไว้ในโหมด Off-Road Plus หรือ Custom เองไปเลย ทีนี้ไม่ว่าจะอยากสไลด์ หรือขับขี่หวือหวาขนาดไหนก็สามารถทำได้หมด

นอกจากควิกชิพเตอร์ที่ทำให้สามารถต่อเกียร์ เพิ่มอัตราเร่งได้แบบไร้รอยต่อแล้ว ที่ฝั่งของการหยุดความเร็วให้ปลอดภัย ฮาร์ลีย์ ยังใส่ ระบบ Cornering Enhanced Electronically Linked Braking (C-ELB) กับ Cornering Enhanced Antilock Braking System (C-ABS) มาให้เราสามารถใช้เบรกได้อย่างมั่นใจไร้กังวลไม่ว่ารถจะอยู่ในโค้งหรือกำลังเอียงอยู่ก็ตาม สิ่งที่ C-ELB ทำคือลิงค์เบรกหน้า-หลังให้ทำงานบาลานซ์กัน และเหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์ที่หลากหลาย ยิ่งเรากำลังเบรกหน้าหนักระบบก็จะใส่เบรกหลังเข้ามาเยอะตามไปด้วย หรือหากเราอยู่ในความเร็วต่ำแล้วกดเบรกแบบแผ่ว ๆ ระบบก็แทบจะไม่ใส่เบรกหลังเข้ามาให้หรือตัดการลิงค์กันไปเลย

พอรวมเข้ากับ C-ABS ที่คอยประมวนผลแรงดันน้ำมันและการเกาะจับของผ้าเบรกทั้งหน้า-หลัง โดยไม่ทำให้ล้อล็อค ด้วยการเพิ่ม/ลดความถี่ในการจับจาน ตามความหนักในการใช้เบรกและองศา/มุมที่รถเอียงอยู่ ทีนี้ไม่ว่าเราจะเบรกบน ทราย, กรวด หรือพื้นเปียก ก็สามารถทำได้อย่างปลอดภัย ยิ่งถ้าลดเกียร์ไปพร้อม ๆ กันด้วย ก็ยิ่งหยุดได้ปึกตามต้องการ ถ้าเป็นบนถนน เกิดเรามาเร็วกำลังเอียงรถและต้องใช้เบรกในโค้ง ระบบสองตัวนี้จะคอยควบคุมให้รถค่อย ๆ กลับขึ้นมาตั้งตรงอย่างนุ่มนวล โดยพยายามให้ยางมีผิวสัมผัสในการยึดเกาะสูงสุด และเราสามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัย แต่จะคุมไม่ให้รถตั้งแล้วบานจนหลุดไลน์ หลุดโค้ง ทั้งยังคุมไม่ให้ล้อหลังลอยจนคว่ำหากการใช้เบรกนั้นหนักมากจริง ๆ

ส่วน C-TCS กับ C-DSCS ที่เป็น Traction control คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะทำงานคล้ายคลึงกับที่มีในรถเรือธงรุ่นอื่น คือจะตัดกำลังและควบคุมแรงบิดจากการเปิดคันเร่ง เพื่อลดการไถลหรือหมุนเกินรอบจนเสียการควบคุมของล้อหลัง ตัดมาก/น้อย เพิ่ม/ลด ระดับตามแต่ละโหมดขับขี่ที่ปรับไว้ สำหรับโหมด Off-Road Plus และ Custom Off-Road Plus แทร็คชั่นจะปิดให้ในโค้ง และปิด C-DSCS พร้อม ABS หลังให้อัตโนมัติ ดังนั้น เราสามารถบาลานซ์ตัว กดน้ำหนักตรงข้ามกับการเอียงของรถ พร้อมคุมคันเร่งและใช้เบรกในการทำพาวเวอร์สไลด์ได้เลยตามต้องการ

สุดท้ายคือฟังก์ชั่น Hill Hold Control ที่ได้รับการปรับยืดเวลาใหม่เป็น 3-5 นาที พอขึ้นทางลาด สมมุติเราต้องเบรก พอกำเบรกหน้าค้างไว้จนไฟติดก็สามารถปล่อยมือได้เลย โดยรถจะกลับมาไหลก็ต่อเมื่อเรากำก้านเบรกหน้าอีกทีเท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะขี่ทางฝุ่นหรือทางดำ สิ่งสำคัญที่สุดคือลมยางต้องตรงตามเสปค เพราะเมื่อไหร่ที่ปรับลมยางอ่อนกว่าสเปค มันอาจส่งผลต่อการคำนวนของระบบต่าง ๆ ยางนั้นออกแบบมาให้ทำงานเต็มสมรรถนะตามน้ำหนักรถและแรงม้าของรถ เมื่อทุกอย่างตรงตามค่ามาตรฐาน คอมพิวเตอร์ก็จะประมวลผลและทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าเราจะตัดสินใจเร่ง จะเลี้ยว เบรก ลดเกียร์หรือหยุด แต่ถ้าเราตั้งใจลดลมยางเพราะเข้าใจว่าพื้นที่ ที่ขับขี่ต้องใช้ลมยางเท่านั้นเท่านี้ หรือปล่อยให้ลมยางอ่อนโดยไม่ตั้งใจ ระบบต่าง ๆ ก็จะเริ่มสับสนทันที (เพราะคอมพิวเตอร์ประเมินได้ว่าเรากำลังอยู่ในอันตราย)

พอระบบกันสะเทือนจับได้ว่าลมยางอ่อนมันจะปรับตัวเองให้นิ่มตาม รถก็จะวิ่งแบบย้วยๆ ระบบเบรกก็จะเริ่มงง ว่าจะลดแรงดันหรือเพิ่มแรงดันสุดท้ายเบรกก็จะไม่เต็มประสิทธิภาพ เมื่อเริ่มเอียงรถในขณะลมยางอ่อนหรือต่ำกว่าสเปค มุมเอียงรถ (Lean angle) เองก็จะเกิดข้อผิดพลาดด้วย เพราะเซนเซอร์จับได้ว่าการเอียงรถนั้นมากกว่าปกติ หรือมุมเอียงเด้งขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะยางแรงดันต่ำ เขาเลยมี Tire Pressure Monitoring System (TPMS) มาคอยบอกเราว่าตอนนี้ลมยางของรถเป็นยังไง อยู่ที่เท่าไหร่ นั่นเอง ดังนั้นการเช็คตรงจุดนี้ก่อนออกเดินทาง ขับขี่ทุกครั้ง คือสิ่งสำคัญ

Revolution Max พลังสูง ล้ำยุค แข็งแรงทนทาน

สิ่งที่ทำให้ Pan Am มายืนอยู่แถวหน้าของรถสายลุยได้อย่างเต็มภาคภูมิ คงหนีไม่พ้นขุมพลัง Revolution Max ใหม่ เครื่อง V-twin 60° ความจุ 1,252 ซีซี, DOHC, 4-วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำและออยคูลเลอร์ แบบ Undersquare ที่มีความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 105 x 72.4 มม. กำลังอัดสูงสุด 13.0:1 พร้อม Primary gear ratio 49/89 และระบบเกียร์ 6 สปีด ให้แรงม้าสูงสุด 150 hp ที่ 9,000 รอบ/นาที แรงบิด 127 นิวตันเมตรที่ 6,750 รอบ/นาที และเรดไลน์อยู่ที่ 9,500 รอบ

ดูเผิน ๆ แล้วมันอาจไม่ได้หวือหวาซักเท่าไหร่ แต่ถ้าเจาะลึกลงไปเราจะเห็นว่า ฮาร์ลีย์ นั้นตั้งใจใส่เทคโนโลยีและองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าไป เพื่อให้เครื่องยนต์บล็อกนี้ สามารถทำงานได้อย่างเสถียร อึด และตอบรับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกสภาวะการใช้งาน

อย่างแรกที่ติดตั้งเข้าไปเพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้เสถียรที่สุดคือ ระบบแคมชาร์ฟบาลานเซอร์ (camshaft balancer) ที่จำเป็นต้องมีระบบนี้ก็เพราะเครื่องยนต์มีลูกสูบใหญ่ และช่วงชักที่ยาว เมื่อมีการเร่งหรือการลดความเร็วด้วยเกียร์ต่ำบ่อย ๆ ในระยะยาวจะทำให้แคมเกิดการคลอนและมีเสียงดัง ยิ่งถ้าใช้น้ำมันเครื่องไม่ดีด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่ ตัวล็อคแคมก็จะสึกเร็ว การติดตั้งบาร์ลานซ์เซอร์จะลดการแกว่ง-กระพือของโซ่ รวมถึงทำให้เฟืองแคมกับโซ่ขบกันได้สนิทมากยิ่งขึ้น ไม่สึกเร็ว ไม่เกิดการเฉือนระหว่างโลหะทั้งสูบหน้า-หลัง

ถัดมาคือบาลานเซอร์ที่ข้อเหวี่ยง ซึ่งเป็นเคาน์เตอร์บาลานเซอร์สองทิศทาง  ตัวบาลานเซอร์จะมีน้ำหนักถ่วงตรงข้ามกับลูกสูบจากศูนย์ตายบน TDC บริเวณลูกสูบทั้งสูบหน้า-หลัง ทำให้ไม่มีการกระพือหรือแกว่งจนจุดระเบิดผิดพลาด นอกจากนี้ฮาร์ลีย์ยังเลือกใช้ใช้ปั๊มน้ำมันเครื่อง 3 โรเตอร์ หรือ 3 ใบพัด ส่งน้ำมันเครื่องระบายความร้อนผ่านออยคูลเลอร์ ฉีดน้ำมันเครื่องหล่อเลี้ยงส่วนสำคัญในการหมุนภายในเครื่องยนต์และส่งแรงดัน Hydraulic เพื่อปรับตั้งระยะห่างวาล์วทั้ง 8 ตัวแบบอัตโนมัติจึงไม่ต้องเสียเวลาปรับตั้งตลอดอายุการใช้งาน (Non-adjustments)

สุดท้ายคือพระเอกของงานอย่างระบบ VVT ( Variable Valve Timing) ซึ่งปรับตั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและเพิ่มองศาจุดระเบิดล่วงหน้า ช่วยให้รถทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะในทุกย่านความเร็วรอบ เช่นเวลาเราใช้เกียร์สูงรอบต่ำไม่ว่าจะบนทางฝุ่นหรือทางดำ พอต้องการเร่งแซงก็แทบไม่ต้องลดเกียร์ต่ำเลย เพราะอัตราเร่งรอบต่ำในเกียร์สูงนั้นมาไว เร่งขึ้นไปได้เลยโดยไม่ต้องลดเกียร์ช่วย พอกระทุ้งคันเร่ง ระบบจะสั่งให้แกนกลางด้านแคมชาร์ฟไอเสียหมุนเดินหน้าเพื่อเพิ่มกระแสไฟจุดระเบิดให้มากขึ้นเหมือนกับการลดเกียร์ต่ำ เรียกว่าการ Advance ignition ในขณะเดียวกันแกนกลางแคมไอดีก็จะทำการเพิ่มน้ำมันที่ส่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้ให้เหมาะสมกับไฟจุดระเบิดที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน (ปรับองศาไฟจุดระเบิดล่วงหน้าได้ 40 องศาและน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าไปพร้อมๆ กัน) ซึ่งอันนี้มันก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ Pan Am มีความ User friendly คือขี่ง่าย ไม่ต้องกังวลกับการใช้เกียร์มาก เราวิ่งอยู่ในเกียร์ไหน ย่านไหน เปิดคันเร่ง รถก็ตอบสนองได้ไว และเต็มสมรรถนะ

สรุป

เวลาหลายปีที่ HD คิดค้นและพัฒนากว่าจะออกมาเป็นรถและเครื่องยนต์บล็อกนี้ มันแสดงออกมาให้เห็นผ่านสมรรถนะและระบบต่าง ๆ ที่มีความครบถ้วน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ Pan America จะได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเราที่ยอดขายนั้นสามารถเดินได้ดีเกินคาดด้วยเช่นกัน ถึงเทคโนโลยีและระบบช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ทางฮาร์ลีย์ใส่เข้ามาจะทำให้มันเป็นรถที่มีความ User friendly และขี่ง่าย แต่เราก็ยังต้องยอมรับว่าโครงสร้างที่ใหญ่ ฐานล้อที่ยาว และน้ำหนักที่มาก ก็อาจทำให้หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับรถสไตล์แอดเวนเจอร์ เกิดความหวั่นใจอยู่ไม่มากก็น้อยด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงจุดนี้ผมบอกเลยว่าไม่ต้องกังวล ถ้าคุณชอบ ถ้าคุณเคยขี่รถประเภทอื่นอยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาลองขี่รถแอดเวนเจอร์ดูบ้าง บอกได้เลยว่า Pan America 1250 Special เป็นรถแอดเวนเจอร์ที่มีความเป็นมิตรระดับต้น ๆ และปรับตัวเข้าหาด้วยไม่ยากอย่างแน่นอน ถ้าสนใจ ไปลองขี่ ลองขอคำปรึกษากันได้จากตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Harley-Davidson ทุกสาขาทั่วประเทศครับ

ขอบคุณ: Harley-Davidson® Thailand

Related