0

2023 Harley-Davidson® Fat Boy™ 114 เด็กอ้วนทรงพลัง! พิชิต 399 โค้ง สู่ดินแดนหมู่บ้านแห่งสายหมอก

Fat Boy™ 114 คือรถรุ่น ‘ไอคอนนิก’ สัญลักษณ์แห่งความคลาสสิค อมตะนิรันดร์กาล จนกลายเป็นรถจากฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ที่มีคนจดจำได้มากที่สุดรุ่นหนึ่ง ‘เด็กอ้วน’ ซึ่งถูกขนานนามให้เป็น The original fat custom icon กลับมาอีกครั้งในปี 2023 พร้อมสีใหม่ Bright Billiard Blue น้ำเงินสว่างเฉดเดียวกับผ้าสักหลาดโต๊ะพูลดูสดใสที่ถูกขับให้เด่นขึ้นไปอีกด้วยสีเงินแวววั๊บของชิ้นงานโครเมียม เรียกได้ว่าใครมาเห็นตัวเป็น ๆ ก็ต้องบอกว่ามันสวยแบบตะโกน!

ผมเคยนำ Fat Boy™ 114 รุ่นก่อนหน้านี้ มาทดสอบรีวิวก็หลายครั้งอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบของการขับขี่เดินทางแบบไม่ใกล้ไม่ไกล และไม่ได้ท้าทายสมรรถนะของพี่ใหญ่กล้ามโตรุ่นนี้เท่าไหร่นัก เพราะเป็นการบิดแบบเอนหลังไปแบบสบาย ๆ ตามสไตล์ครุยเซอร์ แต่วันนี้คอนเซ็ปท์ของเราต่างออกไปเล็กน้อย เพราะจุดหมายปลายทางคือ “อีต่อง” หมู่บ้านในสายหมอก สุดเขตตะวันตกติดกับพม่าที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา ตำบลปิล๊อก จังหวัดกาญจนบุรี โลเคชั่นซึ่งต้องบอกว่ามันไปไม่ง่าย เพราะต้องขี่ขึ้นเขาแบบไต่เนินชันสุดแล้วเจอโค้งหักศอกแคบ ๆ ทันทีแบบยับ ๆ นับไม่ถ้วน มอเตอร์ไซค์ทรง Hot rod เครื่องใหญ่ เตี้ย Low-Ride ฐานล้อยาว แบบ Fat Boy™ จะไปไหวไหม ขึ้นไปเจอกับความกดอากาศต่ำที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ๆ เครื่องยนต์จะตอบสนองเป็นยังไง วันนี้เราออกไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน…

Fat Boy™ เท่ห์ตรงไหนทำไมถึงเป็นไอคอน?

Fat Boy™ กลายเป็นไอคอนสุด “อมตะ” เมื่อไปอยู่ในมือของ “ฅนเหล็ก” อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ในหนังเรื่อง Terminator 2 อเมริกัน Muscle Car เวอร์ชั่นมอเตอร์ไซค์ที่มาในทรวดทรง ใหญ่โต เก๋าโจ๋ ทรงพลังและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ที่แม้จะถูกปรับเปลี่ยนตลอดระยะเวลา 30 ปี แต่โดยรวมแล้วแก่นแท้ของความเป็น Fat Boy ก็ยังคงอยู่ นั่นคือการสร้างสองล้อที่มีความใหญ่โต โอ่อ่า แบบแค่มองหรือได้ยินเสียงก็รู้ได้ทันทีว่า เฮ้ย นี่แหละรถฮาร์ลีย์!

การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ Milwaukee Eight 114 (1,868 ซีซี) ยกระดับสมรรถนะของรถรุ่นนี้ให้ กำลังมาต่อเนื่อง, นุ่มนวล, ให้อัตราเร่งของเกียร์แต่ละเกียร์อย่างแม่นยำ ส่งยางไซส์ใหญ่เบิ้มลงไปตะกรุยพื้นถนนด้วยความทรงพลังเมื่อกระทุ้งคันเร่งไม่ว่าจะขี่อยู่ในเกียร์ไหนหรือความเร็วเท่าไหร่ โดดเด่นด้วยงานโครเมียมมันวาวตั้งแต่ชุดครอบไฟหน้าดวงใหญ่เป็นเอกลักษณ์ แกนโช้ค ครอบกรองและเครื่องยนต์ยาวไปจนถึงปลายท่อไอเสีย ล้อแม็กทึบ Lakester รัดมาด้วยยางขนาดใหญ่โอเวอร์ไซส์ทั้งหน้า-หลัง ตัวรถเตี้ย ระยะฐานล้อยาวแบบ Steamroller stance (ยางหน้าใหญ่ ทรงพลัง เหมือนรถบดถนน) ที่วางเท้า (Floorboard) อยู่ในตำแหน่ง Forward เยื้องไปด้านหน้า เอนหลังขี่สบายสไตล์ Softail

ปิดท้ายด้วยระบบกันสะเทือนไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์ โช้คหน้าแกนใหญ่ขนาด 49 มม. แบบ Cartridge (มีห้องน้ำมันคุม Damping อยู่ใต้สปริงตรงขาโช้ค) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการแข่ง น้ำหนักเบาขึ้น พร้อมให้คาแรคเตอร์ในการซับแรงที่มีความนุ่มนวล พร้อมโช้คหลังเดี่ยวซ่อนรูปสไตล์ Hardtail ที่ปรับได้ง่ายตามต้องการด้วยรีโหมดบริเวณด้านขวา

Milwaukee-Eight™ 114 เครื่อง Big Twin ที่มาของความแรง

เครื่อง V-twin 45° ความจุ 114 ลูกบาศก์นิ้ว (1,868 ซีซี) OHV 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ-ออยล์คูลเลอร์ ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 102 x 114.3 มม. (Over Square) กำลังอัดสูงสุด 10.5:1 จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด ESPFI เรือนลิ้นเร่งขนาด 55 มม. ให้แรงม้าสูงสุด 94 hp ที่ 5,020 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 155 นิวตันเมตรมาที่ 3,250 รอบ/นาที ระบบเกียร์ 6 สปีด, Primary Drive โซ่ 34/46 โลปแคมชาร์ฟสองตัวในเป็น Intake-Exhaust สูบหลัง สองตัวนอก Intake-Exhaust สูบหน้า อยู่หลัง Cam plate ส่งน้ำมันเครื่องด้วยปั๊มแรงดันจากเฟือง Primary Shaft ผ่านโซ่ซับเสียง Cam chain ที่มีตัวดันโซ่ราวลิ้น Tension Hydraulic เป็นตัวควบคุมความตึง ส่วนก้านกระทุ้ง (Push Rod) จะใช้เป็นตัว Tapped ที่มีลูกกลิ้งคอยแตะไว้ที่โลบแคมชาร์ฟซึ่งมีความแข็งแรงมาก ตรงนี้จะให้อัตราเร่งที่รวดเร็วเพราะส่งกำลังการหมุนจากข้อเหวี่ยงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ออกเดินทาง

หลุดจากตัวเมืองมาแล้วก็เอนหลังขี่สบาย ๆ 


ลองจับครั้งแรก ไม่แปลกที่หลายคนจะเริ่มกังวล รถมันสวย น่าขี่เต็มสิบไม่หัก แต่สเกลที่ทั้งใหญ่และยาวอาจทำให้รู้สึกเกรง ๆ กันบ้าง ซึ่งถ้าลองขึ้นไปคร่อมแล้ว บอกเลยว่าความเตี้ยแบบเท้าทั้งสองข้างเหยียบพื้นได้เต็ม ๆ มันชนะทุกสิ่งจนทำให้ความกังวลที่เคยมีหายไปหมด ขากางออกด้านข้างไม่มาก เบาะนุ่มนั่งสบาย เท้ามีกำลังยันพื้นได้เหลือเฟือ แฮนด์กว้างทำให้การบังคับเลี้ยวเวลาจอดและหักแฮนด์ในความเร็วต่ำไม่ต้องใช้แรงมาก จะเหลือแค่การเลี้ยวมุมแคบ ๆ เท่านั้นที่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวเข้าหาบ้าง แต่พอขี่คุ้น ๆ แล้วจะรู้เลยว่าการเลี้ยวรถสไตล์นี้มันไม่ยากอย่างที่คิด

บีบคลัตช์เข้าเกียร์ 1 ก่อนเพื่อถนอมรถใหม่ไม่ให้เกียร์กระแทกเสียงดังกั๊ก พร้อมบีบเบรกหน้าไว้ (จริง ๆ จะบีบหรือไม่บีบก็ได้) แต่ผมติดนิสัยถ้ารถยังไม่เคลื่อนตัวจะบีบเบรกหน้าไว้เสมอเพื่อไม่ทำให้รถไหลและตั้งตรงไม่ทิ้งน้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่ง กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ติดขึ้นพร้อมเดินเบานุ่ม ๆ ที่แถว ๆ 1,200 รอบ/นาที ถ้าเทียบกับเครื่องบล็อกเก่าเสียงที่เคยดังก้องกระหึ่มแลเงียบลงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีจังหวะตึบ ๆ ตับ ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ (ถ้าอยากให้ดังชัดกว่านี้ ก็ให้ร้านเขาจูนรอบเดินเบาใหม่ใช้กราฟที่เปิด-ปิด รอบต่ำเยอะหน่อย) หรือเปลี่ยนแคมแต่งไปเลยก็ได้ เครื่อง MK8 ตัวนี้ทำงานเรียบมากเพราะเขาใส่เคาเตอร์บาลานชาร์ฟมาบริเวณด้านหน้าเครื่องยนต์ พร้อมติดตั้งวาล์วคุมรอบเดินเบา ISCV (Idle Speed Control Valve) มาด้วยเครื่องเลยไม่มีอาการสำลักหรือดับในรอบต่ำ

เริ่มปล่อยคลัทช์ ระบบคลัทช์ตัดและต่อกำลังได้หมดจดดีมาก บีบคลัทช์รถไม่ไหล ปล่อยคลัทช์รถเริ่มเคลื่อนตัวทันที จับและจากไว รอบต่ำพารถหนัก 317 กก. บวกผมที่หนัก 69 กก. เคลื่อนตัวออกมาได้แบบสบาย ๆ ก้านคลัตช์ไม่แข็งมากบีบง่าย เพิ่มความเร็วจากเกียร์ 1 ที่ให้อัตราทดมา 9.311 ซึ่งยาวขึ้นเล็กน้อยเพื่อความคุมง่ายในเกียร์ต่ำ ถึง Primary Drive จะยังมีอัตราทดเท่าเดิมที่ 34/46 อัตราเร่งมันก็ยังมาเร็วและนุ่มนวล แรงบิดสูงสุด 155 นิวตันเมตร ซึ่งมาในรอบต่ำเพียง 3,250 รอบ/นาที ถูกรีดออกมาให้เห็นแบบนุ่มหนักทรงพลัง ไม่ได้กระโชกโฮกฮากแรงจนถนนย่น กระปุกเกียร์ (Shift Drum) ใหม่ทำให้เกียร์เข้าได้ลื่นขึ้น และหาเกียร์ว่างได้ง่ายเวลาติดไฟแดงก็เปลี่ยนเกียร์ว่างได้ทันที ไม่ต้องคอยบีบคลัทช์ไว้ให้เมื่อย

หลุดจากเมืองใหญ่มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี เริ่มมีทางให้ใช้คันเร่งมากยิ่งขึ้น เรือนลิ้นเร่งที่ปรับให้ใหญ่เป็น 55 มม. ทำงานร่วมกับระบบคันเร่งไฟฟ้า Throttle By Wire ได้คมดีมาก แตะปุ๊บมาทันทีไม่มีดีเลย์ ตัวเซนเซอร์จับตำแหน่งลิ้นปีกผีเสื้อ (Throttle Position Sensor) ที่ปรับใหม่เองก็มีความแม่นยำทำงานร่วมกับระบบหัวฉีด ESPFI ส่งอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปเผาไหม้ได้อย่างหมดจด ทำให้เครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 114 บล็อกนี้ เร่งขาด กำลังมาดี ไม่มีตะกุกตะกัก เกียร์แต่ละเกียร์ต่อสนุกรับกัน ช่วง 2,500-2,700-3,000 รอบ งัดต่อเกียร์ขึ้นไปได้ลื่น ๆ เลยแบบไม่ต้องบีบคลัตช์ แต่ถ้าใช้รอบเครื่องไม่ถึง (ต่ำเกินไป) จะทำให้รถกระตุก หรือถ้าใช้รอบมากเกิน (ลากเกียร์เกิน) เกียร์ก็จะเข้ายาก ต้องจับจังหวะให้ดี ถ้ายังไม่ชินแรก ๆ ก็บีบคลัตช์เปลี่ยนไปก่อน พอเริ่มคุ้นหาจังหวะได้แล้ว มันจะช่วยลดความเมื่อยล้าในการบีบคลัตช์และยืดอายุแผ่นคลัตช์ด้วย

บิดเพลิน ๆ เผลอแป๊บ ๆ ความเร็วก็ขึ้นไปแตะ 140-150 ได้แบบแทบไม่ต้องพยายาม ถ้าสังเกตดี ๆ เกียร์ 6 นั้นให้อัตราทดมายาวมาก แม้ Primary Drive จะยังมีอัตราทดเท่าเดิม นั่นแสดงให้เห็นว่าความเร็วปลายเกียร์แต่ละเกียร์นั้น ดันได้ ดันดี ปลายไม่ตก และยังไหลไปได้อีก

เริ่มดันเนินปิล๊อก 399 โค้ง

ดันชิลล์มากรถกำลังเหลือเฟือ


เริ่มดันขึ้นปิล๊อกที่ชันไม่แพ้ดอยไหนในประเทศไทยที่ผมเคยไปมา (หลายจุดมีความชันมากกว่าด้วยซ้ำ) ผมสลับใช้เกียร์ 2-3-4 อยู่ในหลายช่วงของขาขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์นั้นมีกำลังเหลือเฟือ จึงไม่ควรใช้เกียร์ต่ำอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นการขี่อั้นเกียร์ แถมลากเกียร์ต่ำนาน ๆ ยังทำให้เครื่องทำงานหนัก เครื่อง MK8 นั้นทอร์คดีกำลังสูงอยู่แล้ว หลายช่วงถ้าสามารถใช้รอบสูงเกียร์สูงได้รถก็ยิ่งไปได้ดี จังหวะที่ดันขึ้นไปเกือบสุดทางชันแบบไม่เห็นทางข้างหน้าในเกียร์ 3 ก่อนถึงปลายเนิน แม้จะต้องลดความเร็วลงเพื่อความปลอดภัย ซึ่งทำให้รอบเครื่องตก แต่พอเห็นทางปุ๊บไม่ต้องลดเกียร์ต่ำรถก็สามารถเร่งออกไปได้เลยแบบหมดจด รอบมันอาจจะตกแต่เกียร์ไม่สับแน่นอน

ความลงตัวในการตอบสนองของเครื่องบล็อกนี้ จากการทำงานประสานกันของเรือนลิ้นเร่ง ระบบคันเร่งไฟฟ้า ระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมัน และระบบวาล์วคุมรอบเดินเบา ISCV ทำให้รถตอบรับได้ฉับไว แม่นยำ รอบต่ำมาดี เครื่องยนต์ไม่สำลักและไม่ดับช่วงปิดคันเร่งในรอบต่ำเกียร์สูง การส่งผ่านน้ำมันและอากาศเข้าห้องเผาไหม้ได้มากยิ่งขึ้น ยังทำให้เครื่องมีกำลังเพิ่มไม่ว่าจะรอบตกหรือรอบสูง เมื่อเผาไหม้ได้หมดจดไม่มีอะไรตกค้าง เครื่องเลยทำงานได้เต็มแม็กซ์ในทุกรอบความเร็ว ส่วนจะประหยัดหรือหนึ่งถังขี่ได้ไกลแค่ไหน อันนี้ขึ้นอยู่ที่ข้อมือของคนขี่ (ส่วนที่เขาเคลมมาคือ 5.5 ลิตร/100 กม. ก็ตกประมาณ 18.18 กิโลเมตร/ลิตร) ซึ่งจากกรุงเทพถึงปิล๊อกนี่ความเร็วเฉลี่ยที่ใช้ประมาณ 120 (อาจมีปี๊ดป๊าดบ้าง) ก็ได้อยู่ประมาณนี้เช่นกัน

ถ้าเข้าใจเรื่องการทำมุมเลี้ยว แล้วเอียงตัวไปพร้อมกับรถ จะโค้งแคบ โค้งกว้าง ก็ไปได้หมด


อย่างที่ทราบกันว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว เอ้ย! ยิ่งสูงอากาศยิ่งบาง อุณหภูมิยิ่งต่ำ ความกดอากาศจึงลดน้อยตามไปด้วย เพราะเรากำลังไต่ขึ้นยอดเขา ความชื้นก็สูง นอกจาก ISCV แล้ว เซ็นเซอร์สำคัญอีกตัวที่ถูกนำมาใส่ตั้งแต่รถของ H-D เปลี่ยนมาใช้เป็นระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมัน และถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในเครื่องยนต์ยุคใหม่ คือ MAP Sensor (Manifold Absolute Pressure Sensor) ซึ่งทำหน้าที่ในการคำนวนค่าความต่างระหว่างความดันอากาศในท่อร่วมไอดีและความหนาแน่นของอากาศภายนอก ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังกล่อง ECU เพื่อจ่ายน้ำมันในปริมาณที่เพียงพอให้เผาไหม้ได้เต็มที่ ประกอบกับดีไซน์ของเครื่องยนต์ MK8 ซึ่งออกแบบให้อากาศไหลผ่านกรองได้ดีอยู่แล้ว ดันขึ้นไปจนถึงโค้ง 300 กว่า Fat Boy ก็ยังเร่งได้ดี กำลังเครื่องยนต์ไม่มีดรอปลงให้เห็น

การควบคุมบนทางชั้นชัน!

รถใหญ่ ฐานล้อยาว ใส่ยางไซส์เบิ้ม หน้า 160/60R18 หลัง 240/40R18 เวลาเลี้ยวจะเป็นยังไง ขืนไหม ลองเอามาวิ่งขึ้นปิล๊อกดูเดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า กับบางช่วงของทางที่เป็นถนนแคบ ๆ เลนเดียว โค้งมีทั้งทางแคบ แคบมากและโคตรแคบ ส่วนข้าง ๆ เป็นเหว! แถมดันขึ้นเขาตลอดแบบแทบไม่มีพื้นราบ (ถ้าจะจอดพักต้องดูให้ดี ไม่งั้นอาจมีกลิ้งทั้งรถทั้งคน)

ลงทางชันเบรกดี ช่วงล่างดี น้ำหนักตัวก็ไม่ใช่ปัญหา


หากดูตามตัวเลขเราจะเห็นว่าองศาคอวางมา Rake 30° ระยะความลาดเอียงกันสะเทือนหน้า (Trail) 104 มม. ส่วนระยะฐานล้อก็เยอะถึง 1,665 มม. ซึ่งยาวมาก เขาจึงวางองศาคอมาให้ทำมุมเลี้ยวได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์กันอยู่บ้าง ไม่ใช่เห็นโค้งนึกอยากเลี้ยว วิ่งมายังไงก็เข้าไปอย่างนั้น เข้าโค้งแคบวิ่งไลน์ในสุด เข้าโค้งกว้างเลี้ยวแบบหน้าตั้งหลังตรง มันก็ไม่ได้! กับยางแบบโอเวอร์ไซส์ลักษณะนี้ สิ่งสำคัญคือการทำมุมก่อนเข้าโค้งและเอนตัวตามไปกับรถ เพราะเวลาใช้ความเร็วต่ำรถจะพับเข้าด้านในด้วยแรงสู่ศูนย์กลาง (centripetal force) หรือหากใช้ความเร็วสูงแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (centrifugal force) จะดันให้รถตั้งขึ้น ถึงจะคันใหญ่ขนาดนี้แต่ H-D เขาออกแบบมาให้เอียงรถได้มากถึงข้างละ 25.6° ยางไซส์ใหญ่มันเกาะกริ๊บอยู่แล้ว รถไม่ต้องออกแรงเลี้ยวเยอะแต่อาจมีขืนบ้างเล็ก ๆ เราก็ทิ้งน้ำหนักเอียงตัวตามไป แค่นี้ก็ไปได้ทุกโค้ง แม้แต่บางช่วงที่ถนนเปียกชื้นก็แทบไม่ต้องกังวล

ข้างหลังนี่ไปก็พม่าแล้วครับ


แม้หลายช่วงผิวทางจะมีการชำรุดแต่ระบบกันสะเทือนก็ยังทำงานสอดคล้องกับยางได้เป็นอย่างดี โดยรู้สึกได้ถึงความนุ่มหนึบของช่วงล่างตลอดทั้งการขับขี่ โช้คหน้าแกนใหญ่ 49 มม. เป็นแบบ Dual-Bending Valve (เพิ่มวาล์วน้ำมันอีกตัวคอยต้านแรงกดและแรงดันกลับของน้ำหนักไม่ให้เร็วเกินไป) รวมถึงเป็นโช้คแบบ Dual rate Spring (มีค่า k สองค่าในขดเดียว) ซึ่งให้ทั้งความนุ่มสบายและเสริมสมรรถนะการควบคุม เมื่อรวมเข้ากับแผงคออลูมิเนียมที่แกนโช้คเอียงไปด้านหน้า 104 มม. เลยทำให้การซับแรงและกระจายแรงสะเทือนสามารถทำได้เนียนแบบไม่สะท้านมาถึงตัว ยางเองก็ไม่ต้องรับภาระหนัก มีจังหวะหน่วงให้ยางจิกโค้งเมื่อเอียงรถลงเขาในบางช่วงได้อย่างเต็มที่ โช้คหลัง Monoshcok ระยะยุบ 43 มม. ที่ซ่อนอยู่กึ่งกางเฟรมแบบค่าเดิมไม่ได้หมุน Preload เพิ่ม เวลาเร่งออกโค้งหรือขึ้นทางชัน ยังสามารถรองรับน้ำหนักไว้ได้ทั้งหมด โดยไม่ทำให้ยางหลังหลุดความกริ๊บ ไม่ย้วย ไม่เสียอาการ แม้เวลาจงใจกระแทกคันเร่งหนัก ๆ

ขึ้นมาถึงก็เย็นพอดี หมอกลงหนาตึบ ต้องค้าง 1 คืน ขี่ลงตอนฟ้ามืดอันตราย เหวทั้งนั้น


ส่วนระบบเบรกก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยเช่นกัน ช่วงใช้ความเร็วสูงเกียร์ 5 มาแล้วไหลลงเขา พอลดเกียร์ต่ำช่วย พร้อมบีบเบรกหน้า-หลังหนักหน่อย มันก็สามารถหยุดน้ำหนัก 386 กิโลกรัม ของทั้งรถและคนที่ลงมาด้วยความเร็วได้อย่างเหลือเฟือ ที่สำคัญโช้คยังสามารถ Absorb แรงไว้ได้โดยแก้มยางไม่ปลิ้น ไม่มีจังหวะไหนที่รู้สึกเหวอ หายใจไม่ทั่วท้องทั้งขาขึ้นและขาลง

สรุป

เรียกว่าเป็นเส้นทางที่พิสูจน์สมรรถนะของ 2023 Harley-Davidson® Fat Boy™ 114 เลยก็ว่าได้สำหรับการฟันผ่า 399 โค้งขึ้นปิล๊อกเพื่อไปยังอิต่องของผมและทีมงานในครั้งนี้ สำหรับหลายคนมันอาจจะดูใหญ่ น้ำหนักเยอะ ฐานล้อก็ยาว แต่อย่างที่บอกความเตี้ยนี่แหละครับที่สามารถสยบทุกสิ่ง เตี้ยจนทำให้มั่นใจเพราะเอาขายันพื้นได้สบายจะลงพายช่วยเวลารถติด ๆ เมื่อไหร่ก็ได้ เตี้ยจนทำให้เกาะถนน ไม่ต้องกลัวว่ายางจะปลิ้น แพลดล้ม เตี้ยจนทำให้มันเลี้ยวดีและเลี้ยวง่าย อาจจะไม่ได้เลี้ยวได้ขนาดรถสปอร์ตหรือรถประเภทอื่น ๆ แต่ถ้าเทียบกับรถครุยเซอร์ รถคัสตอมด้วยกัน เฟรม Softail กับเครื่อง V-Twin 45° ของฮาร์ลีย์คือ No.1 ของโลก ตอนไป Harley-Davidson® Homecoming™ Festival  ที่มิลวอกี บ้านของฮาร์ลีย์ เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ผมก็เห็นผู้หญิงฝรั่งหรือแม้กระทั่งผู้ชายเม็กซิกันตัวเล็ก ๆ ขี่ FAT BOY™ เข้างานมากันให้ลึ่ม ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ขี่ยากอย่างที่ใครหลายคนคิด เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากทะยานไปบนท้องถนนบนรถจักรยานยนต์รุ่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกหนึ่งรุ่นของอเมริกา และเป็นรุ่น Iconic ตลอดกาลของ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน งั้นมันก็คงไม่มีคำตอบอื่นนอกจาก Fat Boy™ 114 ถ้าสนใจ อยากได้รถสไตล์นี้ไว้ขี่ซักคัน หรือต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับรถฮาร์ลีย์รุ่นอื่น ๆ Harley-Davidson of Bangkok หรือ ฮาร์เล่ย์ พระราม 9 เขามีรถให้ลองและพร้อมให้บริการอยู่แล้วครับ ยกหูหาได้เลย

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดทดลองขับขี่ได้ทุกวัน

Inbox: m.me/HDBKK

Line: https://shop.line.me/@hdbkk

> Tel.: 099-339-1888, 02-318-8488

  • Word/Test: Saen Boonchoeisak
  • : ชัยวัฒน์ เตยหอม

Related