All-New Suzuki Katana เปิดตำนานดาบซามูไร
หากเอ่ยถึงชื่อ Suzuki Katana เด็กรุ่น Gen Z ที่เกิดหลังปี 1997 หลายคนคงเพิ่งมารู้จักรถรุ่นนี้ในปี 2019 นี่เอง ซึ่งเป็นปีที่ทางซูซูกินำดาบซามูไรเล่มนี้กลับมาหลอมใหม่เพื่อสานต่อตำนานกันอีกครั้ง แต่ถ้าเป็นรุ่นเก๋าที่ชื่นชอบในวงการสองล้อก็คงพอทราบว่า จุดกำเนิดของชื่อ ‘Katana’ นั้น เริ่มต้นขึ้นในยุค 80 และผลิตออกสู่ตลาดในปีค.ศ. 1981-2006 ว่ากันว่าในยุคเริ่มต้นของ Katana นั้น ซูซูกิได้ทำการจ้างทีม Target design จากประเทศเยอรมัน มาออกแบบรถหลายโมเดลด้วยกันโดยคำนึงถึง Target Group ต่างๆของลูกค้าในแต่ละตลาดเป็นหลัก ซึ่งรุ่นที่เผยรายละเอียดการออกแบบให้สาธารณชนได้เห็นกันตอนช่วงนั้นคือตัว ED1 และ ED2 (ย่อมาจาก European Design 1-2) ED1 นั้นเริ่มต้นเลยใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 650 ซีซี ก่อนจะถูกปรับปรุงและวางจำหน่ายจริงๆในชื่อรุ่น ซูซูกิ GS650G และ GS550 Katana ภายหลัง ในระหว่างนั้นทางซูซูกิญี่ปุ่นก็ทำการส่งโมเดลสปอร์ตรุ่นท็อปสุดของไลน์ตามมาโดยใช้พื้นฐานเดียวกับ GSX1100 ในยุคนั้น ED-2 ซึ่งใช้เครื่อง 1074 ซีซี 16 วาล์วแบบฮาฟแฟริ่งจึงออกตามมาในรหัส GSX1100S (1980) และโมเดลที่ถูกนำไปจัดแสดงที่ Cologne Show นี้เองคือจุดเริ่มต้นแห่งตำนานของดาบคาตานะจากญี่ปุ่น ด้วยดีไซน์ที่ในสมัยนั้นถือเป็นแนวคิดที่ ‘สุดโต่ง’ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปทรงหรือรายละเอียดต่างๆ จนทำให้หน้าตาของมันออกมาดูล้ำเกินยุคเหมือนหลุดออกมาจากหนังเรื่อง สตาร์ วอร์ส เพราะซูซูกิ เน้นหนักในเรื่องของสมรรถนะ หลักอากาศพลศาสตร์ ความเสถียรในความเร็ว รวมถึงมีการทดสอบค่าแรงเสียดทานของอากาศในอุโมงค์ลม จน Katana ถูกยกให้เป็นรถจักรยานยนต์โปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก ณ เวลานั้น
นอกจากรุ่นที่กล่าวไปแล้วเรายังได้เห็นซูซูกินำเอาหลักการ พื้นฐาน รายละเอียดหรือแม้แต่ชื่อของ Katana ไปใช้ในโมเดลอีกหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นตัวที่ถูกส่งไปวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือช่วงปี 2006 ในคลาส Sport Touring หรือแม้กระทั่ง Suzuki Katana AY50 ซึ่งเป็นรถสกู๊ตเตอร์ 50 ซีซี ที่นำไปวางจำหน่ายในยุโรป ซึ่งรถในตระกูลนี้นอกจากรูปลักษณ์การออกแบบอันโดดเด่นและดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากแล้ว จุดเด่นอีกจุดที่คงจำกันได้นั่นคือ ไฟหน้าทรงเหลี่ยมและไฟหน้าแบบ ป๊อปอัพ (Pop up) เหมือนกับที่รถยนต์หลายรุ่นนิยมใช้ในขณะนั้น แน่นอนว่าแรงบันดาลใจและความสำเร็จของรถในไลน์อัพนี้ย่อมเป็นตัวจุดประกายให้รถในเซกเมนต์อื่นๆของซูซูกิอย่าง Suzuki GSX -R Slingshot 750 และ 1100 ในเวลาต่อมา ซึ่งผู้ที่สร้างชื่อให้กับรถในรุ่นนี้ด้านมอเตอร์สปอร์ต จนหลายคนยังคงจดจำกันได้ถึงทุกวันนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Kevin Schwantz และ ฮิเดโอะ ป๊อป โยชิมูระ
เรื่องราวและที่มาของ Suzuki Katana ยังมีมากกว่านี้และเป็นช่วงเวลาที่ตัวผมเองกำลังอยู่ในช่วงของการเป็นนักแข่งทางฝุ่นสังกัดทีมโรงงานของซูซูกิประเทศไทย จึงได้รับแรงบันดาลใจหลายอย่าง เพราะตอนนั้นบอกได้เลยว่า ซูซูกิ อยู่บนท๊อปของ “ปิรามิด” ในโลกของสองล้อ เรียกว่ายังคงมีประวัติที่น่าสนใจในยุคเริ่มต้นอีกเยอะมากที่อยากจะแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ แต่ก่อนที่ผมจะหวนรำลึกถึงความหลังมากไปกว่านี้ คงต้องขอกลับมาสู่ปัจจุบันกันก่อนเพราะวันนี้ ได้รับเกียรติให้มารีวิว All-new Suzuki Katana ตำนานแห่งดาบเล่มใหม่ในสไตล์จัดเต็ม ว่ามีอะไรที่แตกต่าง? ทำไมยังคงเป็น คาตานะ? มันมีความพิเศษอย่างไร? อเนกประสงค์ตอบโจทย์ได้ครบเครื่องครบครันซักแค่ไหน? เอาละไปชมกันเลย…
แนวคิด และแรงบันดาลใจ
มร.คาซูทากะ โอกาวะ (Kazutaka Ogawa) ผู้ดูแลรายละเอียดตั้งแต่ การปั้นดินเหนียว,รูปทรงของชิ้นส่วนทั้งหมด,ความเรียบร้อยของเนื้องาน และโปรดักชั่นไลน์อัพกล่าวว่า Katana ตั้งแต่ยุค 80 เป็นการออกแบบที่เรียบง่าย โดยเน้น ลักษณะที่แบน,เรียบ และค่อนข้างเป็นเส้นตรง ซึ่งมันนานมาแล้ว แต่สำหรับ All new Katana โมเดลนี้ทีมวิศวกรต้องการให้เป็นรถ Sport Touring ที่ขี่ง่าย,ควบคุมง่าย,ใช้งานในชีวิตประจำวันสบายๆแต่แฝงไว้ด้วยสมรรถนะและอารมณ์ของความเป็นสปอร์ตที่ครบเครื่อง ซึ่งจริงๆแล้วมันมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 ประการด้วยกัน หนึ่งคือความควบคุมง่าย คล่องตัว สะดวกสบาย สองคือ องศา ต่างๆของตัวรถ สามคือ เหลี่ยม มุม และความคมของมิติ จะสังเกตได้ว่าด้านหน้านั้น เป็นการผสมผสานอดีตกับยุคสมัยเข้าไปในชุดแฟริ่ง ส่วนช่วงท้ายได้รับการปรับปรุงให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น จนออกมาเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงกลิ่นอายรูปลักษณ์เดิม ชื่อชั้นของ Iconic Katana “มันอาจยากที่จะมองเห็น” แต่เมื่อได้สัมผัส รับประกันว่าเดี๋ยวรู้เลย!
สัมผัสแรก First impression
ผมมองว่าถ้าซูซูกิอยากจะดีไซน์ให้มันแหวกแนวแบบสุดโต่งอีกครั้งหรือทำรถออกมาให้แรงเหลือรับประทานก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะเราก็ได้เห็นตัวอย่างกันแล้วจาก GSX-R 1000 L8 รถซูเปอร์ไบค์ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม หรือแม้กระทั่งกับ ฮายาบูสะ พญาเหยี่ยวที่ทั้งเร็วและมีเสน่ห์จนมีสาวกอยู่ทั่วทุกมุมโลก ว่าค่ายๆนี้ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องของเทคนิคเทคโนฯด้านการเสริมสมรรถนะและรีดเค้นความเร็ว แต่ครั้งนี้ซูซูกิกลับส่ง คาตานะ ที่นอกจากรูปลักษณ์จะผสานอดีตไว้ได้อย่างเนียนตาแล้ว ยังมาพร้อมสมรรถนะที่ นุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น ฉับไว ในการส่งกำลัง แบบที่ใครก็ควบคุมได้ไม่ยากมาให้เราได้สัมผัสกัน สำหรับผมความประทับใจอันดับแรกคือ การคง “จมูก หรือจะงอยปาก” ที่เรียกกันว่า Drop-nose เอาไว้ ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นต้นตำรับ แล้วมันให้อะไร? เมื่อเราใช้ความเร็วไม่สูงมากนักอาจไม่รู้สึก แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงเมื่อไหร่ ด้านหน้าซึ่งคล้ายจะงอยนี้จะกลายเป็นตัวดักอากาศไปในทันที บังคับให้อากาศไหลไปตามเหลี่ยมร่องของแฟริ่งที่อยู่ด้านข้าง ช่วยให้รถนั้นนิ่ง เสถียรและเมื่อยกคันเร่งลดความเร็ว อากาศจะกดให้ด้านหน้าของแฟริ่งกดตัวตามเพื่อช่วยในการใช้เบรคหนักๆและเกิดความเกาะถนนมากยิ่งขึ้น คล้ายๆครีบที่อยู่ใต้ท้องเรือหรือเพลทแต่งที่อยู่บริเวณใต้ท่อเจ็ทสกีเพื่อให้เกิดการกินน้ำ เกาะพื้นผิวน้ำ ช่วยให้เลี้ยวได้อย่างฉับไวและเสถียร ซึ่งสำหรับยานยนต์ทางน้ำจะเห็นได้ชัดเพราะน้ำนั้นมีความหนาแน่นของมวลเยอะมาก แต่สำหรับรถจักรยานยนต์ต้องมีความเร็วถึงจะรู้สึกได้เพราะอากาศมีความหนาแน่นของมวลน้อยกว่า ถึงดีไซน์แบบนี้อาจจะทำให้สูญเสียความเร็วไปบ้างเล็กน้อยในช่วง Red-line แต่ที่สำคัญคือมันจะช่วยกดหน้ารถและช่วยไม่ให้ล้อหน้าลอยขึ้นแบบไม่ตั้งใจเวลาเร่ง Drop-nose ตัวนี้จึงทำหน้าที่คล้ายวิงเล็ทกลายๆ ซึ่งถ้าตั้งใจจับอาการจะสัมผัสได้ทันทีเวลาขี่เร็วๆ
ที่น่าสนใจต่อมาคือ บริเวณช่วงท้ายที่จะเห็นว่าถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายปีกที่ยื่นออกมาสองฝั่ง ซึ่งผมมองว่าจุดนี้มีนัยยะ เพราะเมื่อแฮนด์ที่ใช้กว้างขึ้นเราก็จะสามารถหมอบลงได้ต่ำจนเกือบติดถังน้ำมัน อากาศที่ผ่านข้ามหมวกกันน๊อคและด้านข้างลำตัวจะไหลผ่านไปยังด้านหลัง แต่เมื่อไหร่ที่ความเร็วลดลงอากาศจะผ่านไปตกที่ด้านท้าย การนำปีกหรือชิ้นส่วนยื่นออกมาด้านข้างลักษณะนี้มาใช้ก็เพื่อให้อากาศที่ไหลผ่านตัวเราไปกดยังด้านหลัง ช่วยให้ล้อหลังไม่เบาเร็วเกินไปเวลาเบรก และอากาศที่กดลงก็จะทำให้แก้มยางเกาะถนนในความเร็วที่ใช้ หรือการเอียงรถในแต่ละองศาโดยไม่เสียหลักการพลศาสตร์ ส่วนกำลังของเครื่องยนต์ถูกปรับลงมาเพื่อให้ผู้ใช้นั้นควบคุมง่าย มีแรงบิดดี ขี่ไม่เหนื่อย หรือหากอยากใส่สุดแบบจัดหนัก ถ้าชินกับลักษณะการตอบสนองของตัวรถแล้วก็เรียกว่าสามารถทำได้ไม่ยากเลย
สัมผัสสมรรถนะ การควบคุม และจุดเด่น
ตำแหน่งท่านั่ง Riding position วางมาไม่แตกต่างจาก GSX-S1000 เพราะระยะฐานล้อเท่ากัน พร้อมการวางจุดพักเท้าแบบเดียวกันเลย คือยื่นไปด้านหลังทำให้ลำตัว หัวไหล่ หลัง พร้อมช่วงแขนโน้มไปด้านหน้าเพื่อเพิ่มน้ำหนักกด แฮนด์กางออกและกว้างเพื่อความควบคุมง่าย ฉับไว และก้มตัวได้ต่ำเวลาต้องการหมอบ หัวเบาะคอดส่วนช่วงท้ายกว้างนั่งสบาย ทัศนวิสัยดีมาก สตาร์ทเครื่องยนต์เสียงจัดว่าค่อนข้างหล่อ หวานๆรื่นหูตามสไตล์เครื่องสี่สูบ เรือนไมล์เป็นแบบ Flat box คล้ายของ GSX-R 1000 แต่สีสันและกราฟฟิคต่างกัน มองง่ายไม่ซับซ้อน ระบบอิเล็กทรอนิกส์มี Traction control มาให้เลือกปรับ 3 ระดับ และปิดอีกหนึ่งรวมเป็นสี่ ปรับได้ง่ายๆด้วยการกดที่ปุ่ม Mode แล้วเลื่อนลูกศรขึ้นลง แล้วกด Mode ซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยัน หากไม่กด Mode ก่อนแล้วกดสวิตช์ขึ้นลงจะเป็นการเลื่อนสลับการแสดงผลบนเรือนไมล์เพื่อดูพวก Trip และข้อมูลอื่นๆ นอกนั้นก็เป็นฟังก์ชั่นของที่ควรมีเช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง คำนวณระยะทาง ไฟบอกเกียร์ ชิพไลท์ โน่นนี่นั่นปกติ สำหรับผมมองว่าโอเคปรับง่ายไม่รู้สึกว่าโลกเริ่มอยู่ยากแต่อย่างใด เข้าใจง่าย ใช้คล่อง รอบเครื่องยนต์ตวัดมากำลังงาม ไม่เร่งรีบ ระบบคลัทช์ปรับตั้งใช้สายเคเบิล คันเร่งดั้งเดิมเป็นสายเร่งแบบดับเบิ้ลตรงสู่เรือนลิ้นเร่ง ผมรู้สึกได้ทันทีว่ามันถูกออกแบบมาให้เป็น Sport Touring ที่ถึงรูปทรงจะหลอมรวมอดีตไว้ แต่สมรรถนะที่ให้มาถือว่ามีความฉับไว สมัยใหม่ตรงประเด็น หลายคนอาจทราบเรื่องราวความเป็นมาทำให้อินกับมันมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับคนที่ไม่ทราบก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่อยู่ตรงหน้าคือรถสปอร์ตทัวร์ริ่งคลาสพันที่หน้าตาดีมีเอกลักษณ์และเปิดราคามาได้โอเคมากๆอีกหนึ่งรุ่นกับค่าตัว 569,000 บาท (ส่วนผมรำลึกถึงวันนั้นที่ขี่ Katana ไฟหน้าป๊อปอัพซึ่งย้อนยุคไปเกือบ 20 ปี ที่แล้ว)
กดคันเร่งสู่แทร็คที่สนามแก่งกระจาน
ไม่ต้องวอร์มอะไรกันแล้วละครับเพราะในช่วงเช้าเราได้นำดาบเล่มนี้ไปทดสอบขับขี่บนถนนกันมาแล้ว ด้วยการวิ่งบนถนนใหญ่ผ่านการจราจร และเลี้ยววกขึ้นเขามายังสนามเสมือนใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ต้องบอกว่า Katana หยิบยื่นความสะดวกสบายในการใช้งานได้อย่างตรงประเด็น แฮนด์ที่ตั้งและมีความกว้าง ช่วยให้การควบคุมนั้นทำได้ง่าย การลัดเลาะผ่านการจราจรจึงสามารถทำได้อย่างสะดวก จังหวะอยากเร่งก็มีกำลังให้เร่งได้ทันที ไม่ต้องรอรอบรอแรงมากรวมถึงการกลับรถในที่แคบก็สามารถทำได้ง่าย ระบบกันสะเทือนสำหรับการขับขี่ใช้งานทั่วไปมีความนุ่มนวล ไม่กระด้างและไม่นิ่มจนเกินไป ในช่วงขึ้นเขา กำลังมาดี ดันได้ง่าย แรงบิดติดมือ สรุปสำหรับการขับขี่ทั่วไปๆมันผ่านฉลุย แต่จะเป็นยังไงถ้าเราอยากนำรถรุ่นนี้ลงไปวาดลวดลายในสนามและสัมผัสกับส่วนปลายที่คมสุดของดาบที่ใช้อยู่ ถ้าอยากรู้ผมพาไปจัดหนักมาให้แล้วตามสไตล์ซูเปอร์เบิร์ด
เครื่องยนต์สี่สูบเรียง 999 ซีซี DOHC 16 วาล์ว, ระบายความร้อนด้วยน้ำตัวนี้ให้แรงม้าสูงสุด 150 PS (148 hp) ที่ 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 9,500 นาที มิติกระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.4 x 59 อัตราส่วนกำลังอัด 12.2:1 ถ้าดูจากข้อมูลตรงนี้เราจะเห็นว่า Katana เป็นรถที่รอบไม่จัด รอบเครื่องไม่สูงมากและให้แรงบิดดีตั้งแต่รอบต่ำๆ จึงมีความขี่ง่าย ขี่คาเกียร์ไว้ยานๆต้องการเปิดคันเร่งทะยานออกไปก็สามารถทำได้ทันที สิ่งที่ซูซูกิให้มาทดแทนแรงม้าที่ไม่เยอะและไม่น้อย คือ แรงบิด ที่มาแบบนุ่มหนัก ฉับไวติดมือ พร้อมการตอบรับการใช้งานคันเร่งที่ถือว่ายอดเยี่ยม ตั้งแต่รอบต่ำ รอบกลาง และรอบสูง เกียร์แต่ละเกียร์รับกันดี สามารถกระแทกคันเร่งได้เลยไม่ต้องกลัวว่ากำลังของเครื่องยนต์จะเกินการควบคุมเพราะมีระบบ Traction control เข้ามาช่วยเสริมความปลอดภัย ตามคอนเซ็ปท์ขี่ง่าย ใช้คล่อง ขี่สนุกและไม่เหนื่อย (รถยิ่งม้าเยอะยิ่งขี่เหนื่อยเพราะต้องออกแรงคุม เชื่อผมสิ) โดยตัวเครื่องได้พื้นฐานมาจาก GSX-R 1000K5 ระบบคันเร่งควบคุมโดยใช้สายแบบทวินเคเบิ้ลสู่เรือนลิ้นเร่งขนาด 44 มม.ที่ผ่านมาตรฐานยูโร 4 มาแบบงามๆ ด้วยความเร็วรอบเครื่องที่ยังคงมาเร็วทันใจและเสียงที่ยังชัดเจนหวานจ๋อย การวางเครื่องยนต์บนเฟรม Steel double cradle frame ซึ่งมีกำหนดองศาคอมาคือมุมเรค 25° และความลาดเอียงของกันสะเทือนหน้า 100 มม./3.9 นิ้ว ที่ปรับให้กว้างขึ้นกลับทำให้การเข้าโค้งนั้นนิ่งอยู่ในไลน์ที่ต้องการและเปลี่ยนได้ทันทีโดยไม่เสียจังหวะ แฮนด์กว้างก็เป็นข้อดี เพราะช่วยให้เราสามารถดึงรถลงต่ำได้ตามต้องการ กำลังเครื่องยนต์มีความต่อเนื่องโดยมีระบบ SDTV (Suzuki Dual Throttle Valve) เข้ามามีบทบาทสำคัญที่ช่วยทำให้การผสมน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศนั้นเผาไหม้อย่างหมดจดและเติมกำลังทั้งรอบต่ำ รอบกลางและรอบสูง แต่เมื่อขี่รอบต่ำในเกียร์ 1 ที่ 2,500 รอบ/นาที แบบเร่งสลับยก จะมีความงึกงักเล็กน้อย อาการตัดกำลังของเครื่องยนต์มีให้เห็น ซึ่งก็น่าจะมาจากการคุมน้ำมัน (ตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง) ในรอบต่ำๆให้รถผ่านมาตรฐานไอเสียและมีการเผาไหม้ในรอบต่ำที่หมดจดมากยิ่งขึ้น แต่พอเปลี่ยนไปยังเกียร์ 2 คันเร่งก็จะกลับมาเดินได้นุ่มและคมเหมือนเดิม จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไร
เมื่อเริ่มกดความเร็วสูงยิ่งขึ้น ดาบเล่มนี้ก็แสดงให้เห็นถึงการร่ายรำในสนามที่ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกขืนหรือขัดต่อการขับขี่เมื่อใช้เรซซิ่งไลน์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามส่วนผสมของแรงม้าและแรงบิดที่ให้มากลับทำให้มันขี่สนุก ยกสนั่น ยกยาวต่อเกียร์ได้ “สุดใจจอรช์” และทำความเร็วสุดทางตรงลงเนินของสนามได้ เกิน 220 กม./ชม. ในเกียร์ห้าแบบเตะทิ้ง (ซึ่งสำหรับผมมันเพียงพอเหลือๆต่อการใช้งานบนถนน) แต่อย่างที่บอกไปในตอนต้นสำหรับการใส่สุดแบบจัดหนัก แรงบิดที่มาเร็วและแฮนด์ที่ตั้งลักษณะนี้ ถ้าแชร์น้ำหนักเวลาขี่ไม่ดี รถก็มีอาการกระพือให้เห็นบ้างเหมือนกัน (ถ้าไม่แกว่งนี่สิแปลก) แต่ก็ไม่ได้เยอะจนถึงขั้นทำเอาใจหายใจคว่ำแต่อย่างใด หากจับจังหวะและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้แล้ว การไปให้เร็วในสนามจะยิ่งเป็นอะไรที่สนุกขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะเราไม่ต้องมานั่งคุมแรงม้าเยอะ ขี่ได้หลายรอบไม่เหนื่อยง่าย และมีระบบ Traction control เข้ามาช่วยคุมไม่ให้ท้ายของรถสไลด์เวลาเปิดคันเร่งหนักๆหรือเผลอเดินเร็วไปโดยไม่ตั้งใจ ส่วนระบบกันสะเทือนก็สามารถทำงานผสานกับระบบเบรก สวิงอาร์มและเฟรมได้อย่างมีสมดุล ตัวรถกำหนดจุดศูนย์ถ่วงมาแม่นยำดี ทำให้การสวิงซ้าย/ขวา การบังคับให้อยู่ในไลน์ตามต้องการทำได้ง่าย คาลิปเปอร์หน้า Brembo ปึกหายห่วง โช้คหน้าหัวกลับ KYB และหลังเดี่ยวปรับตั้งอิสระซึมซับแรงกระแทกและควบคุมช่วงยุบได้หนืดกำลังดี ทำให้ผมสามารถเล่นกับรถได้โดยไม่เสียการทรงตัว ไม่ว่าจะยกหรือหยุด แบนจนสุดขอบก็ไม่ผลักภาระให้ยางหน้า/หลังจนเกิดอาการปลิ้น ส่งผลให้สามารถทำความเร็วก่อนเข้าโค้ง กลางโค้ง และออกจากโค้งได้ตามสั่ง
เมื่อรวมทุกอย่างที่กล่าวไปจึงทำให้ดาบเล่มนี้มีความคมแบบใครที่มีทักษะหน่อยก็หยิบขึ้นมาใช้ได้ ไม่ต้องรอผู้โชคดีฝีมือฉกาจมาดึงออกจากหินถึงจะกวัดแกว่งมันให้เป็นไปตามต้องการ สำหรับผมการนำแนวคิด ภาพสะท้อน และเอกลักษณ์ของ Katana ในยุคเริ่มต้นมาผสานกับความโมเดิร์นของซูซูกิถือว่าทำออกมาได้ลงตัวดีมาก ดาบญี่ปุ่นที่ไม่ได้ชูเรื่องของทำความเร็วแบบทะลุมิติ แต่เนื้อแท้ของมันอยู่ที่ความขี่ง่าย ขี่สนุกและใช้งานได้คล่องตัว …ไปสัมผัสกันได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่าย ซูซูกิ ทุกสาขาทั่วประเทศครับ
Word: Saen Boonchoeisak
Pic: Kritchanut ALiiiONEz