0

Benelli Leoncino 250 ถึงเวลาฉกลูกสิงห์แล้วพาไปวิ่งหาสมรรถนะ!

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความนิยมในตัวของรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์ใหญ่หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า ‘บิ๊กไบค์’ นั้นเพิ่มขึ้นกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมามาก ขนาดที่ว่าถ้าเรานั่งอยู่บนรถยนต์ในช่วงรถติด ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีวิ่งผ่านมาให้เห็นสามถึงสี่คันในแถบตัวเมือง แต่แบบไหนละถึงจะเรียกว่ารถใหญ่?  ปกติแล้วเครื่องยนต์ของรถเล็กในบ้านเรานิยมทำออกมากันอยู่ที่ 125-150 ซีซี

ดังนั้นรถที่มีความจุกระบอกสูบเกินขึ้นมาจากช่วงนี้ และเป็นพิกัดที่ผู้ผลิตนิยมทำมาวางจำหน่ายคือรถที่มีเครื่องยนต์ 250-300 ซีซี ซึ่งถูกจัดให้เป็นรถใหญ่ในระดับเริ่มต้นที่หลายแบรนด์ต่างก็พยายามนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ออกมาตรงตามความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด เพราะนอกจากเรื่องส่วนแบ่งทางการตลาดแล้ว รถในระดับ Entry-level นี่แหละที่จะเป็นใบเบิกทางซึ่งเชื้อเชิญให้ผู้ใช้หันไปสนใจรถที่มีพิกัดสูงกว่าในไลน์อัพของแบรนด์นั้น ๆ แล้วจำเป็นมั้ยที่จะต้องเริ่มต้นด้วยรถ 250 ซีซี ? รุ่นไหน เครื่องยนต์เท่าไหร่ถึงจะดี ? ผมมองว่ามันคงไม่มีตรรกะตายตัวว่าต้องเริ่มจากขนาดนั้น ขนาดนี้ แต่กำลังจะบอกว่าหากเริ่มต้นด้วยรถ Entry-level โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทหนีบถัง หลังตรง แฮนด์กว้าง ควบคุมง่าย ๆ ด้วยแล้ว คุณจะสามารถฝึกฝนทักษะในการควบคุมรถใหญ่ การเลี้ยว การบังคับ การใช้รอบเครื่องยนต์ ใช้เกียร์/คลัทช์ ที่แตกต่างจากรถเล็กอยู่หลายช่วงตัวได้โดยไม่ต้องเสี่ยงมาก เพราะคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ย่อมมาพร้อมกับความเร็วที่เราเองก็อาจคาดไม่ถึง

สำหรับมือเก๋าบางครั้งการเปลี่ยนมาขี่รถในช่วงพิกัดดังกล่าวก็ถือเป็นอะไรที่สะดวกคล่องตัวดีในการพาคุณฝ่ารถติด ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย หรือถ้าเจอช่วงไหนที่ทางโล่ง ๆ ใช้ความเร็วได้ ก็ยังสามารถควบคุมรถทั้งคันได้อย่างอยู่มือและสนุกออกรสชาติ แน่นอนว่าทุกวันนี้ตัวเลือกในตลาดนั้นมีอยู่แทบจะทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น สปอร์ต เน็คเก็ต หรือแม้กระทั่งรถแอดเวนเจอร์ก็ยังมี แต่สำหรับวันนี้เรามีโอกาสได้มาพบกับน้องเล็กในตระกูล Leoncino (ลีออนชิโน่) ซึ่งมาในสไตล์แบบโมเดิร์นคลาสสิคที่ทางเบเนลลี่ เติมเต็มไลน์อัพและถมช่องว่างด้วยการลดสเกลลงมาจากตัว 500 พร้อมกับหัวข้อในการทดสอบ ‘พิเศษ’ ในครั้งนี้ คือนอกจากการทดสอบสมรรถนะแล้ว แถมพ่วงอัตราประหยัดเชื้อเพลิงและความเร็วสูงสุด เพื่อหาคำตอบว่ามันจะเป็นรถในระดับเริ่มต้นที่ดีงามสักแค่ไหน เพียงพอต่อความต้องการในการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างไร ?

เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกคงไม่ต้องพูดถึงเพราะ Leoncino 250 มันย่อส่วนจากตัว 500 ซีซี มาแบบเป๊ะๆ เรียกว่าถ้ามองผ่าน ๆ อาจเผลอคิดว่าเป็นตัว 500 ได้ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตจากสีรถหรือตัวเครื่องดี ๆ งานประกอบถือว่าเนียนโอเค สำหรับรถที่มีซีซี ขนาดนี้ ส่วนระบบส่องสว่างก็ไม่ต่างจากตัวใหญ่ด้วยดีไซน์ไฟหน้ารี ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ไฟเป็น LED รอบคัน โช้คหน้าหัวกลับขนาด 41 มม. โช้คหลังเดี่ยว เรือนไมล์สไตล์เหลี่ยมสว่างชัดเจนอ่านง่ายดูโก้และบอกข้อมูลต่าง ๆ ครบ ไม่ว่าจะเป็นระยะทาง, ระดับน้ำมัน, ระดับความร้อน, ABS , ไฟเลี้ยว ฯลฯ (ไม่มีสัญญาณดาวเทียม หรือ Netfilx) แต่ก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ กับราคา 109,000 บาท (ตัว ABS) ผมมองว่ามันค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว

โครงสร้างหลัก

Leoncino เป็นรถขนาด 250 ที่มีความสูงจากพื้นถึงแฮนด์ 1,115 มม. ระยะฐานล้อ 1,380 มม. ความกว้างจากปลายแฮนด์ทั้งสองด้าน 840 มม. เบาะสูง 810 มม. น้ำหนัก 162 กก. ซึ่งจัดว่าอยู่ในมาตรฐานของรถระดับ 250 ซีซี ด้วยการออกแบบแล้วสำหรับผมที่มีส่วนสูง 175 ซม.น้ำหนัก 70 กก. โครงสร้างหลักนั้นดูลงตัว ระยะแฮนด์กว้างกำลังดี เท้าทั้งสองข้างแตะพื้นได้ง่าย

ที่สำคัญที่สุดคือมันมีสมดุลที่ดีรองรับการขับขี่ ควบคุมได้เสถียรด้วยกันสะเทือนหน้าหัวกลับขนาดแกน 41 มม. และหลังเดี่ยว ซึ่งถึงขี่บนทางที่มีหลุมมีบ่อเยอะ ๆ แล้วจะรู้สึกกระด้างอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยังเสริมการควบคุมให้มีความฉับไว เลี้ยวง่าย โดยโช้คหลังนั้นปรับ Preload ได้ซึ่งหากใครต้องการให้นุ่มขึ้นอีกหน่อยก็สามารถนำโช้คหน้าไปเปลี่ยนน้ำมันใหม่ แต่สำหรับผมมันพอดี ยิ่งเมื่อนำตากล้องมาลองซ้อนด้วยแล้วก็พบว่ามันค่อนข้างลงตัวเลยทีเดียว ยางติดรถเป็น IRC IZ หน้า 110/70 ขอบ 17 หลัง 150/60 ขอบ 17 เช่นกัน ซึ่งช่วยเสริมให้ระบบกันสะเทือนและโครงสร้างหลักแน่นปึกโดยเฉพาะในมุมเลี้ยว ปิดท้ายด้วยเบรกที่ให้มาเป็น Single disc พร้อม ABS หน้าจานขนาด 280 มม. และหลัง 240 มม. เรียกว่าพอแบบเหลือ ๆ สำหรับรถซีซี เท่านี้

สำหรับการใช้งานบนถนนทั่ว ๆ ไป เครื่องยนต์สูบเดี่ยว Twin cam, D.O.H.C. 249 ซีซี 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำที่ให้มานั้นมีอัตราเร่งต้นที่ค่อนข้างดี บิดติดมือตั้งแต่รอบต่ำ ๆ เมื่อรวมเข้ากับตำแหน่งท่านั่งแบบหลังตรงจึงทำให้การควบคุมนั้นสามารถทำได้ง่าย เร่งง่ายเลี้ยวง่าย โดยในช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. ซึ่งเป็นย่านใช้งานทั่ว ๆ ไป Leoncino ตอบสนองได้ดีเข้ามือเลยทีเดียว ไม่ว่าจะซอกแซกผ่านการจราจร สวิงรถอย่างรวดเร็ว ฯลฯ คือมันมีความคล่องตัวสูง

สิ่งที่พบระหว่างการขับขี่ในช่วงนี้คือคอรถนั้นหักได้ไม่เยอะจึงเลี้ยวในมุมแคบมาก ๆ ไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เขาทำมาเพื่อป้องกันไม่ให้เลี้ยวแล้วหน้ารถไถซึ่งถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องกับรถแฮนด์ตั้งลักษณะนี้ แต่ก็ต้องระวังไว้หน่อย (รอยถลอกที่แฮนด์คงมาจากคนที่ขี่ก่อนหน้านี้แล้วไม่รู้ว่ารถเลี้ยวแคบมากไม่ได้) อีกอย่างหนึ่งคือคันเกียร์นั้นแข็งไปนิด แต่ก็พออนุมานได้ว่ารถมันใหม่อันนี้ก็พอเข้าใจ จริงๆแล้วเครื่องยนต์สูบเดียวนั้นมีข้อดีคือดูแลรักษาง่าย และที่สำคัญกินน้ำมันน้อยกว่าเครื่องยนต์ที่มีหลายสูบ ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงเครื่องยนต์สูบเดียวที่มีกำลังมาก ๆ ซีซี สูง ๆ อาจไม่ได้รับความนิยมเหตุผลเพราะว่ามันมีกำลังมากเกินไป สั่นจนขาดความนุ่มนวล ส่งผลด้านความร้อนสะสมเกินงามและมีเสียงดังของการทำงานบนฝาสูบหากไม่ดูแลรักษาหรือใช้น้ำมันเครื่องดี ๆ แต่พอมาเป็นเครื่องยนต์ระดับ 250 ซีซี มันช่างหวานชื่นและกลมกล่อมเสียเหลือเกิน

โดยเครื่องบล็อกนี้ของเบเนลลี่เลือกใช้มิติกระบอกสูบ x ช่วงชักที่ 72.0 x 61.2 มม. จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด กำลังอัด 11.2:1 ปั่นม้าได้ 25.8 hp ที่ 9,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบ/นาที ซึ่งถือว่าไม่เลวเลย โดยเสียงเครื่องยนต์ที่ดังออกมาจากลูกสูบโตแบบโอเวอร์สแควร์นั้นมาแบบหนัก ๆ พอผ่านท่อไอเสียซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นเพาเวอร์แอมป์ยิ่งทำให้นุ่มลึกสรุปว่าซุ่มเสียงนั้นไม่หน่อมแน้ม ไม่ต้องใช้ระยะทางในการขี่เยอะก็ทราบได้ว่าสำหรับเครื่องบล็อกนี้ Benelli ตั้งใจย้ายกำลังงานมาไว้ในในย่านต่ำ ๆ หรือทำให้มันเป็นรถรอบเครื่องต่ำ เพื่อให้ผู้ใช้ขี่ง่าย ควบคุมง่าย และไม่กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากเกินความจำเป็น เมื่อกำลังมาดีในรอบต่ำนั่นหมายความว่าอัตราทดเกียร์ และอัตราทดของเฟือง Primary Gear กับ Secondary Gear ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับเกียร์ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ถึงจะขี่แบบเกียร์สูงรอบต่ำพอเร่งแล้วรถก็ยังมีกำลัง พอรถมีกำลังให้เรียกใช้อย่างรวดเร็วก็เกิดความสบายบรื้อในการควบคุมใช้งาน ไม่ต้องพะวงเรื่องเกียร์มากเวลาขี่ ไม่ต้องคอยดูรอบเครื่องที่ใช้เยอะ คือมันทำให้ชีวิตรู้สึก Easy อย่างที่เขาว่า Simple is the best

แน่นอนว่าสำหรับการใช้งานบนถนนรถประเภทนี้ย่อมวิ่งได้ดีไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เมื่อรีวิวด้านนอกเรียบร้อยเราจึงวกเข้าไปที่สนาม 8 Speed เขาใหญ่เพื่อหาอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างถูกต้องตามหลักเทคนิค โดยคำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้ ลมยางต้องตรงตามสเปกทั้งหน้า-หลัง สถานที่ทดสอบต้องมีแรงเสียดทานจากสภาพอากาศหรือมีกระแสลมพัดสวนจากด้านข้างและช้อนขึ้นจากด้านล่างน้อยที่สุด เครื่องแต่งกายต้องไม่มีชิ้นส่วนไหนที่โดนลมแล้วกระพือหรือต้านลมเป็นสาเหตุให้ค่าความเร็วที่ไม่มั่นคง ความเร็วที่ใช้ต้องคงที่หรืออยู่ในระดับของการใช้งาน ใช้เส้นทางที่เรียบและเป็นแนวราบ ไม่ใช้รอบต่ำจนเกินไป ใช้เกียร์ให้ครบทั้งหมด ใช้รอบเครื่องยนต์และความเร็วที่เหมาะสมตามกำหนดของการใช้งานจริง ไม่ลากรอบเครื่องยนต์เกินกว่าจุดที่ให้แรงบิดดีที่สุด ใช้รอบเครื่องยนต์สูงสุดในรอบเครื่องยนต์ที่กำหนดมาก่อนรอบตัด ทั้งหมดนี้เป็นหัวข้อของการทดสอบหาค่าความสิ้นเปลืองที่ถูกต้องที่ผู้ผลิตทั่วโลกนิยมใช้กัน

ทดสอบค่าความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

สิ่งแรกเลยคือเช็คระยะไมล์สะสมซึ่งรถวิ่งมาแล้ว 994.4 กม. เมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง 12.5 ลิตร จนหัวจ่ายตัด ก็ถึงเวลาขนรถมายังสนาม แต่งตัวด้วยชุด Racing suit ใส่หมวกกันน๊อคเต็มใบ ถุงมือ รองเท้าครบชุด เพื่อลดแรงเสียดทานของอากาศ วัดลมยางตามสเปกทั้งหน้า-หลัง แล้วเริ่มลงสู่แทร็กซึ่งสำหรับผมเป็นสถานที่ ที่เหมาะกับการทดสอบลักษณะนี้มากที่สุด เพราะพื้นแทร็กทางวิ่งนั้นเรียบและแบนราบ เป็นทางที่ไม่ต้องดันขึ้นเขาโดยใช้กำลังเครื่องยนต์เกินอัตราสิ้นเปลือง พร้อมทั้งมีระยะทางวิ่งที่เสถียร รวมถึงใช้ความเร็วได้คงที่ตามต้องการโดยไม่เสี่ยงอันตรายจากการจราจรและไม่มีรถวิ่งสวนทาง โดยระยะทาง 1 รอบสนามที่เราวิ่งนั้นจับระยะแล้วยาว 1 กม.พอดี และจะทำการขับขี่ทั้งหมด 102 รอบ โดยความเร็วที่ใช้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 80-120 กม./ชม.

ซึ่งผมตั้งใจขี่โดยไม่เร่งเครื่องยนต์เร็วเกินลักษณะการใช้งานทั่วไป ไม่ลากรอบเครื่องยนต์เกินจุดที่แรงบิดมาดีที่สุดนั่นคือช่วง 5,000 – 8,000 รอบ/นาที (รอบเครื่องตัดที่ 9,500 รอบ/นาที) วันนั้นอากาศที่เขาใหญ่ถือว่าเย็นสบายเช้าอยู่ที่ 20 องศา และช่วงที่เราทดสอบเพิ่มขึ้นมาเป็น 26-27 องศา จึงขี่ยาวไปแบบชิลล์ ๆ ได้เลยรวดเดียว 102 รอบสนาม โดย 40 รอบแรกนั้นใช้ความเร็วอยู่ที่ 80 กม./ชม. ส่วนรอบที่เหลือเพิ่มเป็น 100 – 120 และมีหลุดไป 130 กม./ชม. บ้างเพราะความมันส์ในอารมณ์ แต่ก็ยังพยายามคุมให้ตัวเองไม่กดคันเร่งเร็วเกินไป ไม่ใช้เบรกหนักๆแบบหยุดนิ่งโดยปล่อยให้รถไหลเข้าโค้ง และไม่ใช้เกียร์ต่ำมากๆเพื่อเพิ่มเอนจิ้นเบรกกับเครื่องยนต์ พอครบ 102 รอบ ไมล์ก็ขึ้นไปอยู่ที่ 1,096.4 กม. เมื่อนำรถไปเติมน้ำมันจนหัวจ่ายตัดอีกครั้งปรากฏว่าพร่องไป 4.4 ลิตร จึงได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.18 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าโอเคเลยนะผมว่า

เมื่อหาอัตราประหยัดน้ำมันเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาหาความเร็วสูงสุด โดยก่อนหน้านี้เราได้วิ่งไปดูทางที่โล่งและเหมาะไว้ก่อนแล้ว พอมาถึงจึงไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงเริ่มดันกันทันที เร่งเต็มที่และใช้รอบสุดทุกเกียร์แต่ไม่ได้เร่งจนรอบตัดแล้วค่อยเปลี่ยนในทุกเกียร์ (เพราะมันผิดหลักจ้า) เกียร์ 1-4 จึงดันรอบไปที่ 8,000 หย่อนๆ เกียร์ห้าเปลี่ยนที่ 9, 250 และเกียร์หกก็กดยาวจนความเร็วไหลขึ้นไปแตะ 158 กม./ชม. และรอบตัดที่ 9,500 รอบพอดี ถ้าตัวผมน้ำหนักเบากว่านี้หรือมีรถคันหน้าให้ดูดท้ายคงไหลขึ้นไปได้เยอะกว่านี้อีกหน่อย โดยรวมจึงค่อนข้างว้าวกับสมรรถนะของ Leoncino ที่ทำได้เหนือความคาดหมาย

เอาละครับสำหรับผู้ที่ต้องการอยากเริ่มต้นขี่รถใหญ่หรือกำลังมองหา Entry bike ไว้ใช้ซักคัน Benelli Leoncino 250 ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะมีความขี่ง่าย คุมง่าย ทำความเร็วได้สูงประมาณนึง รวมถึงมีสมรรถนะและอัตราประหยัดน้ำมันที่ดี ที่สำคัญคือรถสูบเดี่ยวดูแลรักษาง่ายแค่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ดูแลจิปาถะทั่วไป พอถึงระยะที่ต้องตั้งวาล์วก็ไม่ยากเพราะตัวเครื่องไม่มีอะไรซับซ้อน ช่างร้านซ่อมก็ทำได้ขอแค่รู้ระยะเคลียร์แลนซ์ของวาล์วก็พอ จะซื้อมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ซื้อมาขี่เล่นขี่เที่ยวในวันหยุด อันนี้แล้วแต่ท่านเลย ไปทดลองและสัมผัสกันได้แล้วที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศคร๊าบ

ปิดท้ายขอยกเล่นซะหน่อย…

Test Ride by:Saen Boonchoeisak

Fast Bikes Thailand Magazine Issue 083

Related