CBR 250RR สปอร์ต Quarter-Litre ใหม่สายพันธุ์ Racing Replica ส่งตรงจากญี่ปุ่นสู่เมืองไทย
ในที่สุด CBR250RR ซูเปอร์สปอร์ตตัวกลั่น ที่มีข่าวฮือฮาและได้รับการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผมแบบตัวอุ่นๆเป็นๆ…ซะที (รอมานานแล้วนะตัวเอง)
ผมและพี่เบิร์ดพวกเราฝ่ายทดสอบแห่ง FASTBIKES THAILAND ได้รับเชิญจาก เอ.พี.ฮอนด้าฯ ให้มาร่วมทดสอบสมรรถนะ เจ้า “หล่อเล็ก” NEW CBR250RR ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ได้เปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในเมืองไทยไปเรียบร้อยแล้ว ณ งาน Motor Show 2019 ที่ผ่านมา อย่างที่ได้โปรยไปว่า สาเหตุที่เจ้า CBR250RR ถูกพูดถึงกันมาตลอดเกือบ 2 ปีนั้นก็เนื่องมาจากมันได้ถูกเปิดตัวและวางจำหน่ายที่ประเทศอินโดนีเซียและญี่ปุ่นไปแล้วตั้งแต่ปี 2017 หรือประมาณ 2 ปีมาแล้ว เพียงแต่ในเมืองไทยเราได้มาแค่ภาพถ่าย!!(ยอมรับว่า ช่วงนั้นก็รูสึกน้อยใจเล็กๆ เหมือนกันนะ คือ..อยากให้เมืองไทยมีรถดีๆ แบบนี้บ้าง)
ด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวและยากที่จะปฏิเสธว่ามัน “หล่อขั้นเทพ” ยิ่งไปกว่านั้น มันยังถูกประจำการด้วยอาวุธ เอ้ย!(ขอประทานโทษ) ด้วยอุปกรณ์ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยี สมกับความเป็น “RR” (Racing Replica) หรือการจำลองแบบมาจากรถแข่งกันเลยทีเดียว DNA ความเป็น รถแข่งที่ถูกหล่อหลอมและพัฒนามาตลอดตั้งแต่ปี 1988 อย่างในรุ่น CBR750RR (RC30) ที่ได้แชมป์รายการ WSBK 1988-1989 2 ปีติดกัน จนมาถึงปี 1990 ที่ทางฮอนด้าได้ให้กำเนิด เจ้า CBR250RR เป็นครั้งแรกในโลกและมีการพัฒนาสายพันธุ์ กันอย่างยาวนานจนมาถึงปัจจุบัน (รุ่นปี 2017) เจ้า “หล่อเล็ก” ก็ได้ถูกปรับปรุงมา ในทุกๆด้าน
จนมีความพร้อมสุดๆที่จะมาให้เราได้พิสูจน์ถึงความเหนือชั้นกันแบบจริงจังในวันนี้..ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จัก กับ Specification พิเศษๆ ของเจ้า NEW CBR250RR กันสักหน่อยนะครับ เริ่มจาก
- เครื่องยนต์บล็อกใหม่ Parallel twin 2 สูบ 4 จังหวะ 8 วาล์ว เสื้อสูบอลูมิเนียม ระบายความร้อนได้ดี ออกแบบปั๊มน้ำต่อตรงกับเพลาลูกเบี้ยวและปั๊มน้ำมันเครื่องต่อตรงกับเรือนเครื่องยนต์ ทำให้ตัวเครื่องมีความกระชับ น้ำหนักเบา แถมพิเศษ ด้วยแคร้งเครื่องที่ทำเป็นแผงครีบระบายความร้อนอีกด้วย ลูกสูบเคลือบสารโมลิดินั่ม ลดแรงเสียดทาน รองรับกับรอบจัดๆในระดับ 14,000rpm ได้สบาย!
- แรมแอร์ เป็นแบบคู่ short tube ควบคุมด้วย ECU นำอากาศเข้าลิ้นเร่งแบบ downdraft ได้รวดเร็วกว่า
- คันเร่งไฟฟ้า (Ride by wire) ใช้ ECU ทำงานร่วมกับ APS (Accelerator position sensor)
- โดดเด่น ด้วย Riding Mode ให้เลือกใช้งานได้ 3 โหมด Comfort: ขับขี่ประหยัดๆในเมืองหรือใช้กับทางเปียก ลื่น ได้ดี, Sport: ขับขี่ทั่วไป ท่องเที่ยว ให้กำลังต่อเนื่องสมูท, Sport+: ต้องการสมรรถนะสูงสุด หรือใช้ ในการแข่งขัน
- เรือนไมล์ ดีไซน์สปอร์ตแบบตัวแข่ง Full LCD multifunction แสดงผลชัดเจน ให้รายละเอียดครบถ้วน บอกเกียร์, shift light, อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และยังมีสวิทช์ Lap timer สามารถจับเวลาต่อรอบ บันทึก และเรียกดูย้อนหลังได้ถึง 99 รอบด้วยตัวเอง
- ตัวถัง เฟรมถัก ออกแบบและขึ้นรูปด้วย ระบบคอมฯ มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 14 ลิตรทรงเพรียว ออกแบบใหม่ เสริมด้วยแผงครอบด้านบนรองรับการหมอบมุดลมได้ดีเยี่ยม
- แฮนด์คลิปออนจับโช้คใต้แผงคอบนให้องศาการควบคุมลงตัวแบบสปอร์ต
- ช่วงล่างพร้อมแข่ง! ด้วยโช้คอัพหน้าเทเลโคสปิคหัวกลับขนาด 37 มม. เซทอัพมาลงตัวกับการขับขี่แบบสปอร์ต สวิงอาร์มหลังอลูมิเนียมน้ำหนักเบาขึ้นรูปด้วย GDC (Gravity die casting) เข้าคู่กับโมโนโช้คแบบ Prolink ปรับได้ 5 ระดับให้ความเป็นสปอร์ตตัวแข่งเต็มตัว
- ล้อแม็กซ์อลูมิเนียมขึ้นรูป 7 ก้าน เบา แข็งแรง แบบเดียวกับรถแข่ง
- ระบบเบรคปั๊มหน้าลูกสูบคู่ จานดิสเดี่ยวขอบหยัก 310 มม. ปั๊มหลังลูกสูบเดี่ยวกับจานดิส 240 มม.
- น้ำหนักรถรุ่น ABS 168 กก.
- ความสูงเบาะ 79 ซม.
- ระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณไฟต่างๆเป็น LED ทั้งคัน
เอาล่ะครับ เมื่อเราได้ทราบความเป็นมาและ คุณสมบัติเต็มๆ ของเจ้า CBR250RR กันมา พอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะลงมือพิสูจน์ ความเป็นซูเปอร์สปอร์ตรหัส RR กันซะที ความรู้สึกเมื่อ คร่อมรถก้มจับแฮนด์ทั้งสองข้าง โยกซ้าย-ขวา (ความสูงและนน.ของผม 168/64 เท่ากับ Marc Marques เลยนะนี่ 555) รู้สึกทันทีว่า “เบา” ท่านั่งกระชับ โน้มไปข้างหน้าพองาม เข่าหนีบถังได้องศา ไม่ต้องอ้ามาก เท้าทั้ง 2 ข้างวางบนพื้นพอดีๆ เมื่อสตาร์ทเครื่องเดินเบาเสียงแผ่วมาก (คือค่อนข้างเงียบ) เพิ่งเริ่มวิ่งทดสอบแบบนี้ ผมเลยปรับโหมดขับขี่เป็นแบบ Comfort ไว้ก่อน เร่งเครื่องต่อเกียร์ 2-3-4-5 และ 6 จนครบ กำลังและรอบเครื่องมาแบบ เรื่อยๆเรียงๆ คันเร่งไฟฟ้าตอบสนองตรงไปตรงมาดี ไม่มีดีเลย์ให้รู้สึกรำคาญ โหมดนี้น่าจะเหมาะกับการขับขี่แบบชมวิวทิวทัศน์ คือขับเรื่อยๆกำลังเครื่องยนต์ส่งออกมาแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้จะพยามบิดคันเร่งแบบ Aggressive มันก็จะตอบสนองแบบเดิม คือค่อยๆเป็นค่อยไป เอนจิ้นเบรคก็มีแผ่วๆ ไม่รุนแรง ดังนั้นน่าจะเหมาะกับการขับแบบประหยัดเชื้อเพลิงและเหมาะที่สุดกับถนนที่เปียกลื่น โหมดนี้จะทำให้รถไปอย่างสมูท และปลอดภัยในสถานการณ์ลักษณะนี้
ผ่านสนามช้างฯ ไป 2 รอบ กับโหมด Comfort ผมจึงปรับไปใช้โหมด Sport ดูบ้าง (สามารถปรับเปลี่ยนขณะขับขี่ได้เลย ไม่ต้องหยุดรถ) เมื่อกดสวิทช์เปลี่ยนโหมดตัวอักษร Sport จะกระพริบ 3 ครั้งแล้วนิ่ง เราก็เข้าโหมด Sport ได้สมบูรณ์ เที่ยวนี้ รู้สึกได้ถึงการตอบสนองของคันเร่งและกำลังเครื่องยนต์มีความกระฉับกระเฉงขึ้น รอบเครื่องตวัดเร็วขึ้น สัมผัสถึงแรงดึงชัดขึ้นที่ 7,000rpm ความเร็วรถขึ้นไปแบบไหลๆต่อเนื่อง ผมเปิดคันเร่งขึ้นไปจน shift light ขึ้นทีละดวงจนครบ 5 ดวง และกระพริบที่ 12,500 rpm (สามารถปรับตั้งได้) ทุกเกียร์ การเข้าโค้งโดยใช้ Engine brake และการ เปิดคันเร่งออกจากโค้ง รู้สึกกระชับและสนุกขึ้นอย่างเห็น ได้ชัด จำลองการขี่แบบออกทริป ท่องเที่ยว การเข้าออกโค้ง เน้นใช้จังหวะเดินคันเร่งแบบพอดีๆ ตัวรถและกำลังเครื่องให้ความเป็นกลางมาก ไม่มีแผ่วหรือ ล้นไป รถควบคุมง่าย วิ่งไปตามสายตาที่มอง ผ่านไปอีก 2 รอบ ผมชักเริ่มอดใจไม่ไหว แถมอุณหภูมิยางและการปรับตัวก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากพอสมควร คงถึงเวลาจัดหนักตามสไตล์ Fastbikes ได้แล้ว ไม่รอช้าผมขยับเข้าโหมด Sport+ ทันที…
และแล้ว… ตัวตนที่แท้จริงก็เปิดเผย.. สิ่งที่เราอยากเห็น อยากสัมผัส ความต้องการรู้สึกร่วมกันกับมันกับเจ้า CBR250RR ภาพเสมือนตัวแข่ง.. พลังสมรรถนะและอุปกรณ์ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีนั้นถูกปลดปล่อยออกมาทันทีที่สัญลักษณ์ Sport+ หยุดกระพริบ!!!
ภาพกับความรู้สึกที่รอบเครื่องเคยตวัดขึ้นตามมือในโหมด Sport ธรรมดา กลายเป็นคนละเรื่องไปเลย เมื่อได้สัมผัสถึงการตอบสนองที่รวดเร็ว กำลังเครื่องที่สร้างแรงดึงและเสียงดูดอากาศผ่านแรมแอร์ มันช่างเร้าใจ ด้วยรอบเครื่องที่ตวัดขึ้นอย่างจัดจ้าน ทำให้ผมต้องสลับควบคุมคันเร่งและเบรคไปมามือเป็นระวิง สายตาก็จดจ่อกับทุกโค้งแบบเอาเป็นเอาตาย น่าทึ่งจริงๆกับความลงตัวของ ช่วงล่าง, เฟรม และกำลังที่ปล่อยออกมาแบบเต็มข้อในโหมดนี้ พิสูจน์ได้ตั้งแต่โค้ง 1 หักศอกขวากับเกียร์ 4 รอบตึงๆ ตัวรถพาผมเช็ดหัวโค้งแล้วบานออกซ้ายจนชิด ฟ้า-ขาว แค่ดึงรถกลับมาเบาๆก็ไม่ล้นเส้น เดินคันเร่งต่อสับ 5 และ 6 ตรงสุดฝั่ง side stand ความเร็วไหลไปถึง 180 กม.ชม.จนถึงจุดเบรคที่ 100 เมตร พอดี เชนจ์ลง 5-4-3 อย่างรวดเร็ว ตัวรถนิ่ง ไม่มีอาการสะบัดใดๆ เข้า โค้ง 3 ขวา U-turn กรอคันเร่งและเติมทันทีเมื่อผ่านกลางโค้ง รถบานออกซ้ายอีกครั้ง ผมโหนรถสู้ดึงกลับมาแบบไม่ต้องออกแรงมาก พร้อมเติมคันเร่งแบบเต็มๆ ต่อเกียร์ 4-5-6 ใช้ไลน์ขวาเกาะขอบเนิน แล้วพับซ้ายลงเนินโค้ง 4 แบบไม่ต้องยกคันเร่งเลย ที่169 กม./ชม. ตัวรถพุ่งดิ่งลงมานิ่งแบบน่าทึ่ง!! ผมยิ่งได้ใจเติมคันเร่งเข้าไปจนสุดจุดเบรค เชนจ์ลง 2 เกียร์ เข้าโค้ง 5 พับซ้าย แล้ววาดโค้งไปยาวๆ ผ่าน โค้ง 6 รถนอนซ้ายยาวจนค่อยๆ เข้าใกล้ขอบแทร็ก ก็พลิกขวาพร้อมสับเกียร์ 5 เดินคันเร่งต่อโค้ง 7 ไปถึงโค้ง 8 ขวาอีกที ให้ไลน์กลางเข้าโค้ง 9 -10 -11 ขวา-ซ้าย-ขวา ต่อเนื่อง ออกโค้ง 11
เกียร์ 5 พุ่งตรงมาโค้งสุดท้าย 12 ( ปราบเซียน) เชนจ์หนักๆ อีกครั้งเพื่อพลิกขวาเข้าทางตรง ทุกจังหวะจัดเต็มรถยังไปนิ่งๆรอบเครื่องยังคงตวัดขึ้นลง พร้อมรับมือเสมอไม่มีการแผ่ว รอบแล้วรอบเล่า ความยอดเยี่ยมของเจ้า CBR250RR ทำให้ผม ยิ่งขี่ก็ยิ่งเพลิน ยิ่งอยากไปให้สุดกว่านี้ กระทั่งมาร์แชลตีธงหมดเวลานั่นแหละครับถึงต้องยอมเข้า (ขนาดสภาพอากาศร้อนแบบนี้ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าใดๆจริงๆ) ร่ายมาซะยาวเลย ถึงตรงนี้จึงขอสรุปสมรรถนะ ของ CBR250RR แบบสั้นๆดังนี้
- ทางตรง เรากับตัวรถหมอบแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียว เฉกเช่นรุ่นพี่ CBR1000RR รถแหวกอากาศได้ นิ่งเรียบเฉียบคม
- ช่วงล่าง รองรับการเข้า-ออกโค้งแบบเหลือๆ
- กำลังของเครื่องยนต์ จัดจ้าน ลื่นไหล (ปลายแผ่วนิดๆแต่ถูกชดเชยด้วยรอบเครื่องที่จัดจ้าน สามารถลาก รอบไปถึงจังหวะที่ต้องการได้ตลอด)
ขอส่งท้าย การทดสอบฯว่า CBR250RR คันนี้ คุ้มค่ากับการ รอคอยทุกประการ การนำเข้ามาจาก JAPAN ทั้งคัน การออกแบบ รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทันสมัย การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่อัดแน่น อาจทำให้มีค่าตัวที่สูงถึง 249,000 บาท แต่..เมื่อได้สัมผัสกับสมรรถนะที่แท้จริงของมันราคาก็จะไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เข้าใจและเข้าถึงความเป็น RR ” Racing Replica” เพราะ….มันคือรถแข่งจำแลงมา…
ความคิดเห็นของ SUPER BIRD
CBR 250RR เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ทำให้ผมมองว่า ฮอนด้าคือผู้นำความเปลี่ยนแปลงใหม่มาสู่วงการยานยนต์อยู่เสมอ ท่ามกลางตลาดรถสปอร์ตขนาดเล็กซึ่งความเป็นสปอร์ตถูกนำไปผสมจนออกมาเป็นรถ ‘สปอร์ตทัวร์ริ่ง’ ซะเป็นส่วนใหญ่ ค่ายปีกนกได้สั่นสะเทือนวงการรถระดับ Quarter-litre class ซึ่งเป็นตลาดที่ผู้ผลิตหลายเจ้ายังไม่ได้ใช้ประโยชน์กับมันอย่างเต็มที่ ด้วยการนำเสนอโมเดลรหัส RR ซึ่งเป็นรถ Racing Replica แท้ๆแบบไม่มีกั๊ก ไม่มีเม้ม Riding Position ถูกออกแบบเป็นซูเปอร์สปอร์ตเต็มพิกัด ให้น้ำหนักเป็นเปอร์เซ็นต์ ด้านหน้า 60% ด้านหลัง 40% แจกแจงน้ำหนัก ตกจุดศูนย์ถ่วงเสริมประสิทธิภาพด้านการเกาะถนน เพิ่มความฉับไวในมุมเลี้ยวและเอียงรถได้เยอะ ชุดแฟริ่งใช้หลักการเดียวกันกับ CBR 1000RR คือ Downdraft กดให้หน้าต่ำและนำอากาศไหลเข้าผ่านช่อง Ram air เพื่อนำไอดีเข้าห้องเผาไหม้อย่างเต็มกำลัง เคาริ่งตัวบนเพรียวบาง เปิดเป็นอุโมงค์ลมเพื่อให้ตัวผู้ขับขี่หลบใต้ชิว ลดแรงเสียดทานของอากาศและได้ความเร็วเพิ่มขึ้น ถังน้ำมันดีไซน์มาให้รองรับการหมอบโดยมีความโค้งจนก้มตัวลงไปแล้วรู้สึกกระชับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ แฮนด์บาร์แบบ Clip on กดระดับเป็นองศาพอเหมาะ หมอบก็ได้นั่งขี่ก็ดี กระชับในมุมเลี้ยว และมีองศาที่เอื้อประโยชน์ต่อการโหนรถแบบ Hang on เครื่องยนต์ถ้าสังเกตให้ดี รูปแบบของการดีไซน์ มันเหมือนกับเครื่องยนต์ 4 สูบ หรือ In line four ที่ตัดเอาสูบ 1 และสูบ 4 มารวมกัน แรงบันดาลใจที่ได้มาจาก Honda RC 213V ทำให้ชิ้นส่วนหลายชิ้นด้านใน มีความคล้ายคลึงกับของ CBR 1000RR ข้อเหวี่ยง องศาการบาลานซ์ ชาร์ฟก้าน ล่าง-บน บาลานเซอร์ ชุดไฟ ระบบคลัทช์ ชุดเกียร์ ลูกสูบ และชุดฝาสูบที่ให้พลัง หล่อลื่นด้วยน้ำมันอย่างเต็มสูบ ถึงแม้จะ มีแค่ 250 ซีซี แต่กำลังที่ให้มามันเต็มเปี่ยมไปด้วยม้าแข่งจากค่ายดัง โหมดการขับขี่ Sport + เร่งเครื่องยนต์อยู่กับที่ 2,500-3,500 รอบ/นาที เร่ง-ปล่อย จะได้ยินเสียงการไหลเข้าของอากาศผ่านท่อ Ram air สู่ห้องกรองอากาศชัดเจน โดยผ่าน Funnel หรือปากแตร ที่ให้ระยะสั้นด้านนอก-ยาวด้านใน ตัวยาวคุมรอบต่ำ ตัวสั้นคุมรอบสูง ให้พลังแรงบิดตั้งแต่รอบ ต่ำ กลาง และรอบเครื่องยนต์สูงสุดเพื่อความแรง เร็ว ทำให้ เร่งง่ายในรอบต่ำ ไม่รอรอบ รอบกลางก็รับกับเกียร์แต่ละเกียร์ได้ติดมือบิดสนุก ส่วนรอบปลายก็ทำให้เครื่องยนต์ไหลลื่น ความร้อนสะสมหมดจด และไม่ทำให้เครื่อง กำลังตกเลยในการทดสอบติดๆกันเป็นระยะเวลานาน เปิดคันเร่งรถก็กระโจนออกไปทันทีด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ฉับไว ชิพไลท์ ส่งสัญญาณกระพริบอย่างเร่งรีบเตือนให้รู้ว่าต้องเปลี่ยนเกียร์แล้วด้วยรอบที่กวาดขึ้นไปถึง 14,000 รอบ/นาที ในเกียร์ 4-5-6 แฟริ่งที่ครอบบนตัวรถออกแบบมาได้ดีมากอากาศที่ปะทะเข้ามา โดนชิลหน้าตัดผ่านข้ามหมวกกันน็อคและไม่ก่อให้เกิดลมหวนมากนักในช่วงท้าย ขณะที่ เวลาโดนกระแสลมพัดจากด้านข้าง โครงสร้างโดยรวมก็ไม่ทำให้รถนั้น เสียการทรงตัวเลย เมื่อความเร็วปลายเกียร์ 6 ไหลดีมาก รถเสถียรในความเร็วจึงมีความมั่นใจจนสามารถยกคันเร่งลึกเข้าไปใกล้โค้ง ในระยะ 50 เมตรได้ เมื่อลดเกียร์ต่ำและใช้เบรกหน้าหนัก รถก็หยุดได้ตามต้องการ ไม่กระพือ ไม่ย้วย และล้อไม่ล็อค ทำให้มุมเลี้ยว ที่กำหนดมารวมถึงไลน์วิ่งคุมได้ง่าย ตรงจุดนี้ต้องยกนิ้วให้กับระบบกันสะเทือนที่ทำงานผสานกับเฟรมจนส่งถ่ายแรงบิด รับแรงของ น้ำหนักรวมจากการใช้เบรกหน้าอย่างหนักและการคืนตัวกลับของ กันสะเทือนหน้าได้อย่างมีสมดุล เมื่อเร่งรอบเครื่องยนต์ออกจากโค้งน้ำหนักส่งถ่ายมาที่กันสะเทือนหลังและยาง มันก็รองรับไว้ได้อย่างหนึบแน่นพร้อมปั่นแรงม้าที่มีกว่า 38 ตัวให้พรั่งพรูออกมาได้อย่างเต็มคันเร่ง การใช้รอบเครื่องสูงออกจากโค้งซึ่งอยู่ในย่านแรงม้าสูงสุดจึงกลายเป็นเรื่องง่าย การหยุดความเร็วอย่างเฉียบพลันในโค้งสุดท้าย ทั้งเกียร์ต่ำสุดและเบรกหน้าหนักสุดก็หยุดได้อย่างมั่นใจ ที่สำคัญเบรกหน้าไม่ก่อให้เกิดอาการเฟดหรือผ้าเบรกร้อนจัดจนทำให้เบรกหายเลยแม้แต่น้อย โค้งสี่ความเร็วสูง มาเกียร์ 6 หมอบติดถัง เร่งเต็มปลอก รถก็ไม่มีเสียอาการ ไม่แกว่ง แค่ใช้น้ำหนักกดด้านใน ก็เข้าได้เนียนโดยแทบไม่ต้องกางเข่าออกมาต้านแรงเหวี่ยงเลย โครงสร้างทั้งหมดมันคือซูเปอร์สปอร์ตแบบ Quarter-Litre Class ที่เหนือชั้นจริงๆ นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไม CBR 250RR ถึงกลายเป็นรถซูเปอร์สปอร์ตขนานแท้ที่เหนือชั้นตามคอนเซ็ปท์ Light Weight Super Sports ที่ผมสัมผัสแล้วมั่นใจ ตอกย้ำความรู้สึกของกลิ่นอาย รถสนามได้อย่างคู่ควรจริงๆครับ