0

Test Ride: Bajaj Dominar 250

ในเอเชีย นอกจากญี่ปุ่นและจีนแล้ว อีกหนึ่ง ‘ยักษ์ใหญ่’ ที่มีกำลังในการผลิตสูงจนน่าประหลาดใจคงหนีไม่พ้นอินเดีย บ้านของ Bajaj Auto Limited บริษัทข้ามชาติผู้ผลิตรถสองล้อและสามล้อซึ่งเริ่มต้นด้วยการได้ไลเซนส์การผลิต Vespa จาก Piaggio เมื่อปี 1959 จนกลายมาเป็นแบรนด์รถจักรยานยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก พร้อมถือหุ้นใน KTM ถึง 48% และยังร่วมมือกับ Triumph ในการผลิตรถจักรยานยนต์ในพิกัด 250-650 ซีซี อีกด้วย



ทุกวันนี้บาจาจมีโรงงานหลัก 3 แห่งในอินเดียที่มีกำลังการผลิตรถกว่า 5 ล้านคันต่อปี มีทีม R&D ถึง 1,200 คน และส่งออกผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายกว่า 79 ประเทศทั่วโลก รวมถึงบ้านเราซึ่งมีบริษัท วรูม ไทยแลนด์ เป็นผู้นำบาจาจ 5 รุ่นเข้ามารุกตลาดในเมืองไทย ได้แก่ Pulsar NS 160, Pulsar NS 200 FI ABS, Pulsar RS 200 FI ABS, Dominar 400 และ Dominar 250 ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานและอยู่กับเราในวันนี้ สปอร์ตทัวร์เรอร์ระดับ New-Entry ค่าตัว 105,000 บาท ที่ชูจุดเด่นเรื่องของสมรรถนะ ความแข็งแรงทนทาน ราคาย่อมเยาว์ และการดูแลรักษาง่าย ไม่ยุ่งยาก

รถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ Bajaj มีดียังไง? ทำไมในปีที่ผ่านมาถึงมียอดจำหน่ายสูงถึง 35 ล้านคันทั่วโลก? ราคาขนาดนี้คุณภาพขนาดไหน มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้ได้…

รายละเอียดโดยรวม

หลายคนคงพอรู้กันมาบ้างว่าเครื่องยนต์ของ Dominar 250 นั้นนำหลักการด้านวิศวกรรมมาจาก Duke 250 ซึ่งถูกนำมาปรับจูนให้มีกำลังออมชอมมากยิ่งขึ้น และพัฒนามาให้สามารถใช้พาร์ทหลักร่วมกันได้ เมื่อมีจุดเริ่มต้นที่ดี ทีมวิศวกรจึงพัฒนาโครงสร้างออกมาโดยเน้นความแข็งแรงทนทาน และเหมาะสำหรับการใช้งานที่สมบุกสมบัน (เพราะถนนหนทางหลายแห่งในอินเดียก็มีความโหดหินไม่แพ้กับบ้านเรา) เส้นทางที่ใช้ทดสอบวันนี้คือกรุงเทพ-เขาใหญ่ ซึ่งถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกลและมีหลายช่วงที่เหมาะกับการทดสอบสมรรถนะของรถในเซกเมนต์สปอร์ตทัวร์เรอร์ได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนจะออกเดินทางเรามาตรวจความเรียบร้อยของรถกันซักเล็กน้อย…

สบตากันซักเล็กน้อย


เริ่มต้นจากรูปลักษณ์ภายนอกที่มาในแนวดิบ ๆ สไตล์เน็คเก็ตคล้ายกับ Dominar 400 โดยเฉพาะตัวสีเทาแบบคันนี้ที่เข้ากับสีดำของตัวบังเรือนไมล์ด้านหน้า แคชบาร์ เครื่องยนต์ และส่วนอื่น ๆ ได้ลงตัวเลย เรือนไมล์ให้มาเป็นจอแสดงผล LCD แบบแยก 2 จอ สัญญาณไฟต่างๆ ที่เป็นมาตราฐานอย่าง ระดับน้ำมัน, อุณภูมิเครื่องยนต์, สัญญาณเลี้ยว, ไฟส่องสว่าง และไฟเบรก ชัดเจนสว่างดี ระดับขาเบรก, ขาเกียร์, ระดับแฮนด์,ระยะความห่างก้านเบรกหน้าและก้านคลัตช์ อยู่ในมาตราฐาน การมองเห็นของกระจกข้าง กว้าง, เห็นชัดเจน จุดบอดหรือ blind spot มีน้อยมากเอียงคอเล็กน้อยก็เห็นได้หมด

เรือนไมล์ตัวที่ 2 บอกสถานะไฟต่าง ๆ รวมถึงไฟเตือนขาตั้งข้าง…


ตำแหน่งท่านั่งวางมาโดยเน้นความเป็นทัวร์ริ่งที่แฝงความเป็นสปอร์ตเอาไว้ นั่งสบาย หลังไม่ถึงขนาดตั้งตรง สามารถงอเพื่อให้เกิดการ Absorb และกระจายแรงกระแทกจากพื้นถนนได้อีกแรงเวลาขี่ ที่สำคัญคือน้ำมันเครื่องที่ใช้เป็นเกรด 15w-40w ซึ่งเป็นเบอร์ที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับเมืองร้อน (เครื่องยนต์บล็อกนี้สามารถใช้น้ำมันเครื่องถึงเบอร์ 15w-50w ได้สบาย ๆ) น้ำมันเครื่องอยู่ในระดับมาตรฐานตามสเปก มองเห็นได้จากกระจกดูระดับน้ำมันตรงแครงค์เครื่อง น้ำมันเบอร์นี้ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเงียบ, ควบคุมอุณหภูมิคงที่, ทนความร้อน, ชั้นฟิล์มเคลือบชิ้นส่วนหมุนวนภายในสูง และหล่อลื่นได้อย่างดีกับเครื่องยนต์ Dry sump

ระยะความตึงของโซ่ตั้งง่าย โซ่เบอร์ที่ให้มามีความเหมาะสมดี ทนแรงดึง แรงเสียดทานจากความเร็วที่ใช้และเสียงเงียบ ยางติดรถเป็นยาง Tubeless ของ IRC หน้าขนาด 100/80-17 และหลัง 130/70-17 เนื้อยางโอเคมากและเป็นสเปกเดียวกับที่ผู้ผลิตแบรนด์อื่นนิยมใช้เป็น Original part มาจากโรงงาน เฟรมใช้เป็น Perimeter ระบบกันสะเทือนหน้าหัวกลับขนาดแกน 37 มม. หลัง Multi-step ปรับตั้งค่าพรีโหลด Piggy bag แบบโมโนช็อค เบรกหน้าดิสก์เดี่ยว 300 มม. คาลิปเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์ Bybre พร้อมระบบเบรก ABS 2 Channel จานเบรกหลังขนาด 230 มม.

เครื่องยนต์

เครื่องยนต์สูบเดี่ยว 248.8 ซีซี DOHC 4 จังหวะ 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ มิติกระบอกสูบ x ช่วงชัก 72.0 x 61.1 มม. เกียร์ 6 สปีด ให้แรงม้าสูงสุด 27 hp ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.5 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที ได้รับการปรับฝาสูบใหม่และการจ่ายน้ำมันให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ความเป็นสปอร์ตทัวร์เรอร์ เพื่อความคุมง่าย ให้กำลังที่มาติดมือเหมาะกับการใช้งานทั้งทางไกลและในชีวิตประจำวัน ใช้เทคโนโลยีจุดระเบิด Digital แบบ 2 หัวเทียน (Twin plug) ตัวแรกจุดระเบิดเครื่องยนต์ ตัวที่ 2 เพิ่มแรงระเบิด,เสริมการเผาไหม้ในกระบอกสูบ ,เสริมกำลังในรอบต้น และทำให้ไอเสียสะอาดผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 5 โดยไม่สูญเสียกำลังเครื่องยนต์

ทดสอบสมรรถนะ การเดินทาง และโครงสร้างหลัก

สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่ายเสียงค่อนข้างเงียบ รอบเครื่องยนต์ตวัดรับเร็วพอดู ตำแหน่งท่านั่งค่อนข้างสบาย แฮนด์เอียงเข้าได้ระยะดีทีเดียว ไม่ต้องก้มหลังมากนัก เบาะด้านหลังกว้างนั่งได้เต็มไม่เมื่อย ส่วนเบาะด้านหน้าติดถังน้ำมันไม่แคบจนเกินไป พอรวมกับถังน้ำมันความจุ 13 ลิตร ที่มีความกว้างจึงไม่ต้องเกร็งขาเพื่อหนีบรถ ตรงนี้ดีเพราะทำให้ไม่เมื่อยตอนขับขี่เดินทาง เท้าเหยียบพื้นได้ทั้งสองข้างไม่เต็มนักแต่ก็อยู่ในช่วงที่สร้างบาลานซ์และความมั่นใจได้โอเคเลยสำหรับคนสูง 175 ซม. ถ้าสูงซัก 165-170 อาจสุดปลายเท้าหน่อยแต่ก็ถือว่าได้อยู่ พักเท้าวางมาในตำแหน่งที่ไม่ต้องยื่นเท้าไปด้านหลังมากนัก ดังนั้นเราสามารถเลือกได้เลยว่าเวลารถจอดจะวางเท้าไว้ด้านหน้าขาเบรก,ขาเกียร์ หรือจะวางไว้ด้านหลังพักเท้า (แล้วแต่ถนัด) ถ้าเป็นอย่างหลังน้ำหนักรวมของร่างกายจะไม่ต้องเทไปด้านหน้าจนต้องเกร็งตัว ขี่ยาวสบายๆ

เกียร์เข้าง่าย

ถึงเครื่องบล็อกนี้จะถูกปรับจูนให้มีกำลังและแรงบิดน้อยกว่าเครื่องของ Duke 250 (จริงๆ ก็ไม่มาก น้อยกว่ากันแค่ 3 แรงม้า ส่วนแรงบิดน้อยกว่าแค่ 0.5 nm) แต่ด้วยความที่แรงม้าและแรงบิดสูงสุดมาในรอบที่ต่ำกว่าเดิม 500 รอบ/นาที มันจึงเหมาะกับการขับขี่ในสไตล์แบบสปอร์ตทัวร์ริ่ง ถึงจะไม่ได้สปอร์ต “จ๋า” แต่ก็เหมาะกับการใช้งานทั้งการเดินทางและขับขี่ทั่วไป ด้วยกำลังที่มาติดมือ และคุมง่ายกว่า ประกอบกับระบบเกียร์ที่มีความเข้าง่ายเพราะมี Assist & Slipper คลัตช์ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าช่วยเสริมให้คลัตช์เกาะจับ และตัดต่อกำลังงานของเครื่องยนต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น ก้านคลัตช์จึงมีความนิ่มใช้นิ้วเดียวก็สามารถบีบเข้าเกียร์ได้เลย รวมถึงการไล่เกียร์ก็สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ทำให้ชุดเกียร์มีความลื่น คล่องตัว มาจากโครงสร้าง ซึ่งเฟืองเกียร์ทั้ง 12 ชิ้น ทำหน้าที่ส่งกำลังแบบ 6 สปีด ร่วมกับกระปุกเกียร์ (Selector drum) และก้ามปูเกียร์ (Selector fork) ที่ใช้ลูกปืนเกียร์ที่มีความแข็งแรง ระบบเกียร์จึงเข้าง่ายมากทั้งเกียร์สูง และเกียร์ต่ำ อีกจุดที่บ่งบอกความเป็นรถสไตล์สปอร์ตทัวร์ริ่งชัดเจนคือเกียร์ที่ใช้ถูกออกแบบมาให้เป็นเกียร์กำลัง ด้วยอัตราทดเกียร์ที่ค่อนข้างชิด ซึ่งตอบรับกำลังงานในรอบต้นและรอบกลางได้อย่างดี อาจจะไม่เร็วจี๋ แต่มีกำลังดีเวลาดันเนิน หรือเวลาต้องการลากรอบเครื่องให้สูงซักหน่อย

สาเหตุที่เกียร์ชิดแต่สามารถลากยาวได้ เป็นเพราะเครื่องยนต์บล็อกนี้ใช้เฟือง Primary และ Secondary ที่กว้างหรือมีอัตราทดยาว เมื่อจุดนี้ถูกกำหนดให้มีระยะกว้างมันจึงทำให้ Gear ratio (อัตราทดเกียร์) มีระยะมากขึ้น ทำให้รถมีกำลังมาเร็วในรอบต้นและรอบกลางรับกันในเกียร์ที่สูงขึ้น ส่วนเกียร์ที่ลากได้ยาวขึ้นก็มาจากการใช้สเตอร์หน้า-หลัง (Final drive) ที่จะมาดันให้กำลังต้น-กลาง มาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย (หน้า14-หลัง46 ฟัน) ถ้าเป็นรถปกติหากใช้สเตอร์เบอร์นี้จะมีแต่รอบต้นอย่างเดียว แต่ Dominar 250 มาดีทั้งต้น-กลาง ส่วนปลายก็ไม่ตันวิ่ง 130-140  กม./ชม. ได้สบาย ๆ ถ้าเป็นช่วงลงเนินยาว 150 ก็มีมาให้เห็น

กำลังเครื่องยนต์

อัตราทดเกียร์ที่ให้มาทำงานผสานกับระบบป้อนไอดีและคายไอเสีย รวมถึงพลังจากการจุดระเบิดแบบ Twin plug ได้ค่อนข้างลงตัว ทำให้รถมีกำลัง ไม่ว่าจะซ้อนสองหรือขับขี่โดยมีสัมภาระ (เขามีสายรัดสัมภาระ 4 จุด มาให้ใต้เบาะคนซ้อนด้วยนะ) ช่วงขี่ขึ้นเนินยาวพร้อมกับไล่เปลี่ยนเกียร์สูงไปด้วย กำลังและรอบเครื่องมาดีไม่มีตก พอไหลลงเขาในเกียร์สูงหรือแม้กระทั่งเกียร์ต่ำก็รู้สึกว่ารอบเครื่องไม่ตัน แต่ถ้าใช้เกียร์กับรอบไม่สัมพันธ์กัน (เกียร์สูงรอบต่ำ) โซ่ก็จะมีอาการสับหน่อย อันนี้ไม่ต้องตกใจ

การทำงานของระบบ Assist & Slipper คลัตช์ ในช่วงบิดลงเขามาด้วยความเร็วก่อนต้องเบรกและเชนจ์เกียร์เพื่อเข้าโค้ง ระบบสามารถหน่วงกำลังงานของเครื่องยนต์ได้ดีไม่แพ้แบรนด์อื่น ๆ เลย อีกอย่างคือเครื่องยนต์มีเอนจิ้นเบรกน้อยมาก ซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ได้ว่าเครื่องบล็อกนี้ไม่กินน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าขี่แบบใช้คันเร่งเยอะหน่อยอัตราประหยัดน้ำมันจะอยู่ในช่วง 32 กม./ลิตร กว่า ๆ ซึ่งถือว่าใช้ได้ สำหรับการตะบี้ตะบันขี่มาตลอดทาง อย่างที่บอกอัตราเร่งมันไม่ได้มาเร็วจี๊ดเหมือนพวกสปอร์ตแท้ ๆ แต่ด้วยความที่รถนั้นขี่ง่าย คุมง่าย เราอาจจะเผลอเล่นกับมันบ่อย ดังนั้นจะประหยัดมากหรือน้อยก็คงต้องขึ้นอยู่กับข้อมือของแต่ละคน

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่ารถที่มีความจุกระบอกสูบแค่ 248.8 ซีซี แต่ใช้เลย์เอาท์แบบสูบโต x ช่วงชักสั้น แถมแคมชาร์ฟยังเป็นแบบ Close loop และใช้ระบบจุดระเบิดแบบ Twin plug รอบคงต้องจัดใช้ได้ แต่จะทำให้กระบอกสูบแห้งและเกิดความร้อนเร็วหรือไม่?

อย่าลืมว่าลูกสูบโตจะใช้รูจ่ายน้ำมันเครื่องเลี้ยงกระบอกสูบรูใหญ่ ใช้โรเตอร์ส่งน้ำมันเครื่องแรงดันสูง พร้อมการเคลือบสารหล่อลื่นในกระบอกสูบอย่างดี การใช้หัวเทียนสองหัวแบบ Twin plug ทำให้การจุดระเบิดและเผาไหม้สารหล่อลื่น โดยเฉพาะน้ำมันเครื่องที่ผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงมีความหมดจด และไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสมในกระบอกสูบมากเกินความจำเป็น ประกอบกับการปรับจูนในส่วนของเครื่องยนต์เอง ทำให้ Dominar 250 รอบไม่จัดมาก กำลังคุมง่าย ถึงแม้จะบิดเต็มที่และดันเกียร์ยาวๆ ในช่วงขึ้นทางลาดชันกำลังก็ไม่ตก ความร้อนก็ปกติ คือมันขี่สนุกเกินคาด หรือถ้าเป็นสายชิล ขี่ซัก 80-100 ในเกียร์ 6 ด้วยรอบเครื่องประมาณ 6,000 รอบ/นาที ก็บิดได้ยาวไปถึงไหนถึงกัน

เป็นความสามารถเฉพาะตัวของผู้ทดสอบ ขับขี่ในพื้นที่ส่วนบุคคลและดูแลโดยทีมงาน


ระบบกันสะเทือน และเฟรมที่ผสานโครงสร้างหลักทั้งหมด

เฟรม Perimeter ที่ออกแบบมาโดยเน้นความแข็งแรง ทำงานร่วมกับโช้คหน้าหัวกลับแกน 37 มม. และโช้คหลังเดี่ยวมี Piggy bag โดยทำให้รถรู้สึกเสถียรในความเร็ว ช่วงล่างหนึบ แต่ไม่ถึงกับกระด้าง ส่งถ่ายแรงกระแทกและคืนตัวเวลาปล่อยเบรกหน้า-หลังในจังหวะลดความเร็ว และเร่งออกโค้งได้ดี ทำให้การเลี้ยวผ่านทางขรุขระ พื้นไม่เรียบหรือต่างระดับทำได้อย่างมั่นใจ เบรกหน้า-หลังทำมาได้ดีไม่มีจุดให้ติ กันสะเทือนยังทำงานสอดคล้องกับยางหน้าหลังทำให้รู้สึกว่ารถเกาะโค้งได้ดี คือมันดีกว่ารถจากอินเดียและจีนเมื่อ 6-7 ปี ก่อนที่ผมเคยสัมผัสมาก (ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดทำออกมาถึงคลาส 600 ซีซี เลย แต่ก็เงียบหายไป) เฟรมทำมาให้ถังน้ำมันกว้าง ช่วงต่อของเครื่องกับสวิงอาร์มก็ค่อนข้างกว้าง ทำให้ใช้เข่าหนีบรถเวลาใช้ความเร็วหรือเอียงเข้าโค้งได้ง่าย ขี่นาน ๆ ไม่เมื่อย

อีกอย่างคือเฟรมนั้นหุ้มส่วนบนของฝาสูบไว้ ถ้าต้องการเซอร์วิส เช็คระยะห่างวาล์ว เปลี่ยนหัวเทียนตรงกลาง หรือเช็คจุดอื่น ๆ ก็แค่ยกถังน้ำมัน ยกกรองออกมาได้เลย ไม่มีสายไฟหรือสายระบบอิเล็กทรอนิกส์อะไรที่ซับซ้อนให้ต้องคอยระวัง เรียกว่าถ้ามีพื้นฐานก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือหากฉุกเฉินช่างร้านไหนก็สามารถเช็คและซ่อมได้ ส่วนเรื่องศูนย์ทาง วรูม ไทยแลนด์ เขาก็มีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการกว่า 19 แห่ง ทั่วประเทศ คอยรองรับพร้อมแพลนที่จะขยายให้ครอบคลุมขึ้นอีกในอนาคต คือใครสะดวกอย่างไหนก็ตามอัธยาศัยกันได้เลย

ขอลองสไลด์เล่นซักหน่อย


สรุป

สำหรับ Bajaj Dominar 250 ผมคงใช้คำอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘มันดีเกินคาด’ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของงานประกอบ โครงสร้าง สมรรถนะ ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น้อยหน้าค่ายไหนเลย บาจาจนำ Know How ในการผลิตรถและร่วมมือกับค่ายอื่นที่สั่งสมไว้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ออกมามีความแข็งแรง สมรรถนะดี และขี่สนุกกว่าที่คิดไว้มาก เรียกว่าลบภาพของรถจากอินเดียที่ผมเคยสัมผัสมาเมื่อหลายปีที่แล้วไปจนหมด ด้วยสมรรถนะที่ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป มันจึงเป็นอะไรที่ลงตัว เมื่อรวมเข้ากับราคาที่แสนต้น ๆ ทำให้ Bajaj Dominar 250 กลายเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามอง สำหรับใครที่กำลังมองหารถระดับ 250 ซีซี ไว้ใช้งาน ไว้ขับขี่เดินทางแบบถึงไหนถึงกันทั่วไทย ไปลอง ไปสัมผัสกันได้แล้วที่ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศครับ

Word/Test: Saen Boonchoeisak
📷:เฉาก๊วย จำนาญศิลป์

Related