0

TEST RIDE: Harley-Davidson® 2022 FAT BOY™

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เป็นแบรนด์ระดับตำนานที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน และมีภาพจำในหลากหลายรูปแบบ นอกจากเสียง ตึบ ๆ ตับ ๆ ดังสนั่นจนไม่ต้องเหลียวมองก็รู้ว่ารถยี่ห้ออะไรพึ่งวิ่งผ่านไปแล้ว อิมเมจที่คงความคลาสสิคมาโดยตลอดอย่าง ถังน้ำมันทรงหยดน้ำ ท่านั่งขี่ที่มีเอกลักษณ์ แฮนด์ตั้งวางเท้าแบบ Forward ยื่นไปด้านหน้า โครงสร้างที่เน้นความโดดเด่นของชิ้นงานด้วยความเงาของโครเมียม ล้วนก่อให้เกิด Brand Awareness และทำให้ชื่อของ H-D เป็นที่รู้จักและจดจำไปทั่วโลก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่หลายคนจะโตมาพร้อมความฝันที่อยากมี ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ซักคันเอาไว้ในครอบครอง

แม้รูปลักษณ์ของฮาร์ลีย์จะมีความอมตะนิรันดร์กาล แต่สิ่งที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลัดเปลี่ยนและกำหนดทิศทางใหม่ของแบรนด์โดยโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าคือการพัฒนาเครื่องยนต์ จากเครื่อง Evolution ดั้งเดิม เปลี่ยนมาเป็น Milwaukee eight 8 วาล์ว (4 วาล์ว/สูบ) ไลน์นี้เป็นเครื่อง Pre-unit construction ที่ใช้ก้านกระทุ้ง คลัตช์, เกียร์ , ข้อเหวี่ยงแยกกัน เรียกว่ายังคงเป็นเครื่อง Big Twin 45° ที่คงเสน่ห์ของความเป็น ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ไว้ได้อย่างครบถ้วนเพื่อเอาใจผู้ที่ชอบความเป็นออริจินอล

ในขณะที่ไลน์อัพใหม่อย่างเครื่อง Revolution™ Max ที่อยู่ใน Pan America , Sportster S และ Nightster เปรียบเสมือนวิวัฒนาการที่เปิดประตูสู่อนาคต ด้วยเครื่องยนต์ V-Twin 60° แบบ Unit Construction (ระบบเกียร์, คลัตช์, ข้อเหวี่ยงรวมอยู่ในแครงค์เครื่องเดียวกัน) มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ โหมดขับขี่ Traction control ฯลฯ รวมถึงเทคโนโลยีเครื่องยนต์อย่างระบบ VVT เป็นการเปิดตลาดเพื่อเข้าถึงลูกค้าหน้าใหม่ให้กว้างขึ้น พร้อมตอบโจทย์เหล่าสาวกที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงจากพื้นฐานดั้งเดิมที่มีมาเกือบ 120 ปี ปัจจุบัน ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน จึงไม่ใช่แบรนด์ที่มีแต่รถครุยเซอร์อย่างเดียวอีกต่อไป แต่กลับมีความหลากหลายของเซกเมนต์ให้เลือกครบทั้ง แอดเวนเจอร์ ครุยเซอร์ สปอร์ต รวมถึงรถระดับ Entry-level ราคาเริ่มต้นห้า-หกแสนบาทให้เลือกเป็นเจ้าของ ซึ่งทำให้ H-D สามารถเปิดตลาดใหม่ในเอเชีย และได้รับการตอบรับที่ดีเอามาก ๆ จากโมเดลใหม่ที่ทยอยปล่อยออกมา รวมถึงในบ้านเราที่ความนิยมในรถฮาร์ลีย์นั้นเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตลอดปีที่ผ่านมาผมเองมีโอกาสได้ลองโมเดลใหม่ของ H-D ที่เปิดตัวพร้อมเครื่อง Revolution® Max มาแล้วทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นตัว 1250, 1250T และ 950T ใหม่ที่เพิ่งออกมากับ Nightster วันนี้เราเลยอยาก Back to Basic ย้อนกลับไปสัมผัสความคลาสสิค Old School ในไลน์อัพของรถที่ใช้เครื่อง Milwaukee eight กันบ้าง ซึ่งตัวที่ถูกขนานนามให้เป็นรุ่น Iconic ตลอดกาลคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Harley-Davidson® FAT BOY™ รถในตระกูล Soft tail ที่ดังเป็นพลุแตกตั้งแต่ออกมาในปี 1990 และถูกขับขี่โดย “คนเหล็ก” อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ในหนัง Terminator 2

ผ่านมา 32 ปี เรามาดูกันว่า Harley-Davidson® 2022 FAT BOY™ จะเป็นยังไง ทำไมมันถึงถูกยกให้เป็น American most iconic bike หรือตำนานที่ยังคงได้รับความนิยมและพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้…

Oversized, Fat

แม้ในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมาหน้าตาของ Fat Boy จะดูแตกต่างจากรุ่นแรกที่เราเห็นในภาพยนตร์ไปบ้าง เพราะองค์ประกอบหลายอย่างรวมถึงรูปลักษณ์ถูกปรับให้มีความโมเดริน์มากยิ่งขึ้น แต่หลัก ๆ แล้วฮาร์ลีย์ยังคงเน้นกลิ่นอายของความดั้งเดิม ไม่หนีจากตัวแรกที่เป็น The Original fat custom icon เท่าไหร่ โครงสร้างที่ดูใหญ่แบบ Oversized ล้อโต บึกบึน แข็งแรง ไฟหน้ากลมที่ตอนนี้ฝังอยู่ในกรอบทรงเหลี่ยม รายละเอียดต่าง ๆ ถูกเติมแต่งด้วยความมันวาวเป็นโครเมี่ยม โดยรุ่นปี 2022 สัญลักษณ์บนถังน้ำมันจะเปลี่ยนเป็นตราสีเงินรูปปีกข้างเดียว อีกหนึ่งเอกลักษณ์อย่างล้อแคสอลูมิเนียมแบบ Lakestar ที่เคยดูทึบเต็มวงยังถูกดีไซน์ใหม่ โดยเจาะให้เป็นแบบ 11 ก้าน ซึ่งส่วนตัวแล้วผมว่าดูสวยขึ้น ทั้งหมดมาในราคา 1,178,000 บาท

เครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 114 วางอยู่บนเฟรมของรถในตระกูล Softail ที่คงความคลาสสิค เป็นเครื่อง V-twin 45° ความจุ 114 ลูกบาศก์นิ้ว (1,870 ซีซี) Single cam 8 วาล์ว ใช้ชุดตัวดันโซ่ราวลิ้นไฮดรอลิค พร้อมชุดเคาเตอร์บาลานเซอร์ และยังคงใช้ก้านกระทุ้ง (Push-rod) เป็นพระเอกในการเปิด-ปิด วาล์ว ระบายความร้อนด้วยอากาศและออยคูลเลอร์ จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์สูบละ 1 ตัว กระบอกสูบ x ช่วงชัก: 102 x 114 มม. (Big bore x Long stroke) Oversquare กำลังอัดสูงสุด 10.5:1 ให้แรงม้า 94 hp ที่ 5,020 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 155 นิวตันเมตรมาที่ 3,250 รอบ/นาที เกียร์ 6 สปีด เชื่อมต่อกำลังงานจากเฟือง Primary gear 36 ฟัน สู่เฟือง Primary clutch 46 ฟัน ด้วยโซ่ ชุด Final drive ขับเคลื่อนด้วยสายพาน สเตอร์หน้า 32 ฟันส่วนหลังใหญ่ถึง 66 ฟันเลยนะ อู้ฮู!

ทดสอบ และสัมผัสโครงสร้างหลัก

ท่านั่งยังให้ความรู้สึกสบายเหมือนเดิม รถเตี้ยขาเหยียบพื้นได้เต็ม ๆ ทำให้เกิดความมั่นใจถึงแม้โครงสร้างจะมีความใหญ่โต และน้ำหนักเยอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด แฮนด์กางออกกว้างกำลังดีแต่ต้องเอียงไหล่ตามเวลาเลี้ยวตามสไตล์ เรือนไมล์กลมกรอบโครเมียมเงาวั๊บอยู่บนถังน้ำมัน 18.9 ลิตร ยังคงเป็น Analog ด้านบน + จอดิจิตอลด้านล้างเหมือนเดิม มีเกจวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ด้านบนจอ ใหญ่เต็มตาแสดงผลข้อมูลและสัญญาณต่าง ๆ ชัดเจน โช้คหน้าเทเลสโคปิคขนาดแกน 49 มม. เป็น Dual-bending valve และใช้สปริงที่มี 2 ค่า K (Dual Rate) ครอบด้วยฝาครอบตะเกียบทรง Beer can โครเมียม ซึ่งกลืนเป็นชุดเดียวกับโคมหน้า ห้อยล้อพร้อมยางไซส์ 160/60-R18 คาลิปเปอร์หน้าเป็นแบบ Fixed 4 พอร์ท

เบาะนั่งสูงแค่ 675 มม. เบาะคนซ้อนยกระดับช่วยล็อคตัวคนขี่ไม่ให้ไหลไปด้านหลังได้ พักเท้าแบบ Floorboard ใหญ่วางไว้ในตำแหน่ง Forward พร้อมด้วยขาเบรก และขาเกียร์ยกสูง ท่อไอเสียคู่แบบ 2-in-2 โช้คหลังเดี่ยวระยะยุบ 43 มม. เป็นแบบ free piston ปรับค่าพรีโหลดด้วยรีโหมดไฮดรอลิค เชื่อมโยงกับสวิงอาร์มสไตล์ Soft tail พร้อมล้อหลังขอบ 18 และยางหลังไซส์ 240/40R18 เบิ้ม ๆ คาลิปเปอร์หลังเป็นโฟลทติ้ง 2 พอร์ท

ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ถ้าเข้าเกียร์ 1 แล้วบีบคลัตช์ จากนั้นค่อยสตาร์ท ก็จะออกเดินทางได้เลยโดยไม่มีเสียงดัง ‘กั๊ก’ สนั่นเหมือนตอนสตาร์ทเครื่องแล้วค่อยเข้าเกียร์ Fat boy มีองศาคอ(Rake) กว้างถึง 30° และระยะความลาดเอียงกันสะเทือนหน้า (Trail) 104 มม. แต่ความกว้างนี้กลับทำให้รถนั้น นิ่ง, เสถียร ทั้งในความเร็วสูงและต่ำ แม้กระทั้งเวลาเข้าโค้ง เมื่อรวมกับน้ำหนักตัว 317 กก. กับความจุกระบอกสูบ 1,870 ซีซี ระยะฐานล้อจึงกำหนดให้มีระยะ 1,665 มม. เวลาเลี้ยวมุมแคบ ๆ เลยต้องทำมุมกว้างเข้าไว้ แต่ก็ไม่ลำบากมาเพราะสามารถเอาเท้าลงประคองได้สบาย

มันอาจไม่คล่องแคล่วในขณะที่การจราจรติดขัดสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเราคุ้นกับรถแล้ว บอกเลยว่าถ้ามีช่องก็สามารถมุดไปกับรถเล็กได้อย่างไม่เคอะเขิน จะเร็วหรือช้าอยู่ที่การสวิงรถกับจังหวะการใช้เกียร์ + คันเร่ง ซึ่งตัวคันเร่งเป็นระบบคันเร่งไฟฟ้า throttle by wire อยู่แล้ว แถมการตอบสนองยังมาตรงแบบไม่มีดีเลย์จึงไม่ใช่ปัญหา ถึงรถจะมีน้ำหนักมาก แต่พอเริ่มเคลื่อนตัวมันก็แทบเหมือนนั่งอยู่บนพรมวิเศษของอาราดิน ระบบกันสะเทือนนุ่ม หนึบ เครื่องยนต์รอบต่ำ ที่ 1,700-2,000 รอบ/นาที กับเกียร์ 1 ไม่มีปัญหาอะไรไปได้สบาย ๆ เพราะอัตราทดเกียร์ 1 นั้นยาวจนรู้สึกได้ว่าเขากำหนดมาให้ขี่คล่องในรอบต่ำอยู่แล้ว

แต่เมื่อไหร่ถ้าใช้เกียร์ 2 รอบต่ำกว่า 2,000 รถจะส่งสัญญาณตะกุกตะกักทันทีว่าเกียร์กับรอบเครื่องไม่สัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้นเมื่อกดคันเร่งเปลี่ยนเกียร์ 2 ต้องให้ได้รอบ และกำลังของเครื่องยนต์ที่แมทซ์กัน เอาจริง ๆ ช่วงรถติดก็สามารถใช้เกียร์ 1 ไปได้ยาว ๆ เลย เครื่อง M8 114 บล็อกนี้มีกำลัง ขี่ง่าย เร่งเป็นมา แต่ก็จำเป็นต้องใช้รอบให้สัมพันธ์กับความเร็วและแม่นเกียร์พอดู สังเกตได้จากกำลังอัด 10.5:1 ของเครื่องยนต์ ซึ่งไม่สูงมากเพราะเน้นแรงบิด ช่วงชักที่ให้มามีสโตรกยาวถึง 114 มม. เพื่อให้รถควบคุมง่าย บิดติดมือ เรือนลิ้นเร่งขนาด 58 มม. เปิดให้อากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านหัวฉีดด้วยความแม่นยำ รถจึงมีพลังหนักหน่วงแต่นุ่มนวลเกินความคาดหมายอย่างชัดเจน

เมื่อผ่านย่านกำลังงานต้นซึ่งเลยขึ้นไปกว่า 2,500-3,000 รอบ/นาที เกียร์จะรับกันจนไม่รู้สึกกระตุก และเปลี่ยนเกียร์สูงได้โดยไม่ต้องบีบคลัตช์ เรียกว่าไปได้แบบลื่นและเนียนมาก โครงสร้างหลักที่ออกแบบมาให้ระยะฐานล้อยาว นำมาซึ่งความนิ่ง เสถียร ในช่วงก่อนเข้าโค้งและในทางตรงความเร็วสูง บิดนิ่ง ๆ ความเร็วทะลุไปถึง 140-150 สบาย ๆ หรือจะขี่กินลมชมวิว 80-100 กม./ชม. ก็ย่อมได้ เสียงถึงแม้ตอนสตาร์ทเครื่องจะรู้สึกว่าเบาลงอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่ขาดเสน่ห์ ยิ่งตอนเร่งเสียงยิ่งเพราะ ร่อนไปตามทางด้วยท่าขี่แบบ Steamroller stance เก๋า ๆ สุดสบาย พร้อมเสียงเร้า ๆ และเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่คุมอยู่มือได้อย่างสนุกแบบไม่กระโชกโฮกฮากเลย เมื่อลดเกียร์ต่ำอย่างเร็วรถก็ไม่แกว่ง แต่ต้องเบิ้ลคันเร่งไล่กำลังอัดเพื่อให้เกิดความนุ่มนวลนิดหนึ่ง กำลังในห้องเผาไหม้ 10.5:1 ไม่ได้โหดอะไรมาก ไม่ต้องกังวลเลย มันผสานกับการคายไอเสียออกจากห้องเผาไหม้ได้อย่างเหมาะเจาะนิ่มนวล

นอกจากอัตราเร่งที่มีพลัง และความต่อเนื่องของกำลังงานในแต่ละเกียร์แล้ว ที่ชอบคือตอนวิ่งลงเขาด้วยเกียร์สูงรถมีกำลังดีไม่อั้นเกียร์ หรือแม้กระทั่งใช้เกียร์ต่ำเครื่องยนต์ก็ไม่ตื้อ ไม่ตันในปลายเกียร์ทำให้เกิดความมั่นใจ เช่นเดียวกับระบบกันสะเทือนหน้าที่รับน้ำหนักรถบวกคน พร้อมคืนตัวอย่างมีจังหวะหนืด ไม่เร่งรีบเมื่อใช้เบรกหน้าหนัก ๆ การนำระบบกันสะเทือน Dual-Bending valve มาใช้คู่กับคาลิปเปอร์หน้า 4 พอร์ท มันทำงานร่วมกันได้ดีมาก แถมยังคืนตัวและส่งถ่ายน้ำหนักไปยังด้านท้ายผสานกับโช้คหลังได้ดีจนไม่เสียจังหวะ ไม่ว่าจะเจอโค้งแคบ-โค้งกว้างหรือทางขึ้นเขา-ลงเขา แค่เวลาเลี้ยวยางหน้าไซส์ 160/60-R18 และยางหลัง 240/40-R18 อาจรู้สึกขืน ๆ หน่อย ๆ ดังนั้นนอกจากการเลี้ยวปกติที่ต้องดึงแฮนด์เข้าหาตัวในโค้งที่เลี้ยวแล้ว เราต้องเอียงตัวตามรถและกดน้ำหนักลงด้านใน ซึ่งการเลี้ยวหรือเอียงตัวลักษณะนี้มีเฉพาะใน Fat boy หรือรถคัสตอมที่ใช้ยางไซส์ใหญ่แบบนี้แหละ มันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้เรื่องกำลังเครื่องยนต์ก็ไม่ต้องเป็นห่วง มันทรงพลังดีมากจริง ๆ

สรุปส่งท้าย

จริง ๆ แล้วผมค่อนข้างคุ้นเคยกับ FAT BOY™ เพราะเคยขี่ทั้งตัวปี 2019 และปี 2021 ออกทริปทางไกลก็ไปมาแล้ว เลยอยากยืนยันคำเดิมว่า FAT BOY™ 114 เหมาะกับนักเดินทางบนถนนดำที่มองหาเส้นทางแห่งความเพลิดเพลิน ทะยานไปตามทางบนรถจักรยานยนต์รุ่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกหนึ่งรุ่นในอเมริกา และเป็นรุ่น Iconic ตลอดกาลของ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ถ้าคุณรักความคลาสสิค เสน่ห์ของความดั้งเดิมที่สอดแทรกความทันสมัยขององค์ประกอบ ความโมเดริน์ของสมรรถนะและพละกำลังของเครื่องยนต์ ถ้าคุณรัก H-D งั้นคงไม่มีคำตอบไหนถูกต้องไปกว่า 2022 FAT BOY™ อีกแล้วครับ อยากลองสัมผัส ลองขับขี่ หรือกำลังมองหารถฮาร์ลีย์รุ่นที่ราคาย่อมเยาลงมา Harley-Davidson® Power Station Rama 9 เขาพร้อมให้คำปรึกษาอยู่แล้ว ติดต่อไปได้เลย…

Word/Test: Saen Boonchoeisak
📷:เฉาก๊วย จำนาญศิลป์
ขอบคุณ ทีมงานน้อง ๆ เดอะแก๊งส์
  • ขอบคุณ เถ้าฮงไถ่ ราชบุรี ครับ
  • ขอบคุณ พี่ๆ น้อง ชาวจังหวัดราชบุรี
  • น้องเตอร์ ธนเดช เจียมสกุลธร
  • พี่ติ้ว วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ เถ้าฮงไถ่
  • พี่กิ๊ก พงษ์ศักดิ์ สุภานิชวรถาชน์ เถ้าฮงไถ่
  • น้องแอ๊ด ถนัตนนท ขำพรหมราช เถ้าฮงไถ่
  • น้องอาร์ม นวพล พุธานนท์ เลิศสุด ราชบุรี
  • น้องแบงค์ ธนวัฒน์ ทองอิน
  • โกฮับ โสภณ วุฒิเนตร

Related