Harley-Davidson® Dirt. Road. Track. Media Experience ครั้งที่ 3 จัดรถใหม่เต็มไลน์อัพ ทดสอบความสดของโมเดลปี 2024
อีเวนท์ใหญ่ขีดเส้นใต้ตัวโต ๆ ของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เอเชีย กลับมาอีกครั้ง กับกิจกรรม Harley-Davidson® Dirt. Road. Track. Media Experience ครั้งที่ 3 ซึ่งวนกลับมาจัดที่ สนาม พีระ เซอร์กิต พัทยา ในปีนี้ทาง H-D ยังคงเชิญสื่อกว่า 9 ประเทศมาร่วมทดสอบ เพื่อเปิดประสบการณ์และสัมผัสเพอร์ฟอร์แมนซ์ของรถจักรยานยนต์ “ฮาร์ลีย์” ที่มีความหลากหลายในด้านไลน์อัพจนสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ครบทุกสภาพทางทั้งบนทางดิน ทางดำ และในสนาม แบบ “Dirt. Road. Track.” เหมือนเช่นเคย โดยมีทั้งสื่อและอินฟลูเอนเซอร์จากประเทศไทย, เกาหลี, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย, สิงค์โปร และอินเดีย ตบเท้าเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง แต่ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นคือในครั้งนี้เราจะได้ทดสอบรถไลน์อัพใหม่ MY 2024 ขี่เทียบกับโมเดลเก่าให้เห็นกันจะ ๆ ไปเลยว่ามันถูกพัฒนาให้ดีขึ้นขนาดไหน และมีรุ่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง
หลังคุณ อิมราน กาดรี หัวหน้าฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ (Mr.Imran Qadri, Head – Marketing & PR) กล่าวต้อนรับพร้อมบอกเล่าจุดประสงค์ของงานเสร็จ ก็ถึงคิวของคุณ Johnny Kang ผู้เป็น Field Sales Manager ที่จะมาบอกเล่ารายละเอียด และความแตกต่างของรถไลน์อัพใหม่โมเดลปี 2024 ให้เราได้ฟังกัน โดยรถรุ่นที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้คงหนีไม่พ้น 2024 Street Glide™ กับ Road Glide™ ซึ่งมาในเครื่องยนต์ MILWAUKEE-EIGHT™ 117 V-TWIN 1,923 ซีซี ใหม่ ส่วนเรื่องสไตล์ รูปลักษณ์ ระบบกันสะเทือน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบอินโฟเทนเมนท์ต่าง ๆ นั้น ก็เรียกว่าถอดแบบจากพี่ใหญ่ไลน์ CVO มาเลย
ตามมาด้วยตัวจบ ตัวสุด ของสายซิ่งอย่าง CVO Road Glide ST ปี 2024 ซึ่งจัดเป็นรถแบกเกอร์ที่แรงสุด เร็วสุด และทรงพลังสุดเท่าที่ Harley-Davidson เคยมีมา เพราะใช้เครื่อง Milwaukee-Eight 121 High Output (HO) ที่ถูกปรับมาให้มีแรงม้า และแรงบิดมากกว่าเครื่องยนต์ M8 VVT 121 เสียอีก นอกจากนี้ทางฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เอเชีย ยังได้เตรียมโมเดลอีกหลากหลายรุ่นมาให้สื่อ และอินฟลูจากนานาประเทศได้ผลัดกันลอง ผลัดกันเทสแบบครบรส ไม่ว่าจะเป็น Low Rider™ ST สี Tobacco Fade รุ่นพิเศษ, Fat Boy, Fat Bob, Sportster™ S, Nightster™, ฯลฯ ส่วนทางฝุ่นก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็น Pan America™ 1250 Special แอดเวนเจอร์หนึ่งเดียวที่กวาดรางวัลมามากมาย
สำหรับสื่อจากประเทศไทยซึ่งถูกแบ่งอยู่ในกลุ่มที่ 2 จากทั้ง 3 กลุ่ม เราเริ่มต้นกันบนเส้นทาง On Road ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างครึ้มฟ้าครึ้มฝน โดยรูทที่ใช้วิ่งจะเป็นเส้นออกถนนสุขุมวิทไปพัทยาประมาณ 40 กม. ซึ่งมีทั้งทางตรงและโค้งมากมาย แถมใช้ความเร็วได้พอสมควรเลยทีเดียว จริง ๆ ผมเองมีความคุ้นเคยกับรถในไลน์อัพ 2024 ค่อนข้างดีอยู่แล้ว เพราะเคยนำรถใหม่จากทาง Harley-Davidson of Bangkok (Power station RAMA9) มาลองแล้วเกือบทุกรุ่น รวมถึงตัว CVO Road Glide และ Street Glide ที่เป็นเรือธงไซส์ใหญ่สุดด้วย วันนี้เลยขอเริ่มจาก 2024 Street Glide™ ใหม่ก่อน แล้วขากลับค่อยสลับมาขี่ตัวเก่าเพื่อเทียบฟีลลิ่งกันดู
On Road
สำหรับ 2024 Street Glide™ ใหม่ ที่ใช้เครื่องยนต์ M8 117 (1,923 ซีซี) แม้จะไม่ใช่บล็อก 121 (1,977 ซีซี) แบบตัว CVO แต่ก็บอกเลยว่าถ้าพูดถึงเครื่อง V-twin 45° ไม่มีใครกินฮาร์ลีย์ลง เพราะถึงจะไม่มีระบบ VVT เข้ามาช่วย แต่การปรับปรุงตัวเครื่องใหม่แบบตรงจุดก็ยังเสริมให้สมรรถนะของเครื่อง M8 117 มันเหลือรับทาน และเพียงพอต่อการใช้เดินทาง ออกทริป ขี่เที่ยวได้แบบทรงพลังเหลือ ๆ ชุดฝาสูบที่ส่งตรงมาจากเครื่อง 121 พร้อมห้องเผาไหม้และพอร์ทไอดีที่ถูกปรับรูปทรงใหม่ นอกจากช่วยเพิ่มสมรรถนะแล้วยังเพิ่มอัตราประหยัดน้ำมัน ขณะเดียวกันก็ยังมีการเพิ่มช่องน้ำหล่อเย็นในบริเวณรอบ ๆ วาล์วไอเสียเพื่อช่วยในเรื่องการระบายความร้อน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขนาดของท่อร่วมไอดี และเปลี่ยนไปใช้เรือนลิ้นเร่งขนาด 58 มม. ที่ใหญ่กว่า เช่นเดียวกับหม้อกรองอากาศที่จุมากขึ้นและมีน้ำหนักเบาลง ซึ่งช่วยเพิ่มพละกำลังกับการตอบรับอัตราเร่งให้มาไวทันใจ จนแรงม้าสูงสุด 105 hp มาที่ 5,020 รอบ/นาที และแรงบิดมากถึง 175 นิวตันเมตร มาในรอบต่ำเพียง 3,500 รอบ/นาที คือถ้าขี่เทียบกันจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่ามันแรงดีกว่าตัวเก่ามาก โดยเฉพาะในโหมด Sport ที่กำลังมาแบบติดมือสุด ๆ ตั้งแต่รอบต่ำ ไหลยาวไปจนถึงช่วงปลายแบบต่อเนื่องดีไม่มีขาด ไม่ว่าจะขี่อยู่ในเกียร์ในรอบไหน แค่กดคันเร่งตัวรถก็พร้อมตอบรับ กำลังมาในทันที มันเลยรู้สึกขี่สนุกขึ้นมาก
ด้านการควบคุมเองก็พัฒนาด้วยเช่นกัน ตัวรถมีความเลี้ยวง่าย เอียงได้เยอะ และนิ่งขึ้นอย่างมากในช่วงกลางโค้ง ด้วยโช้คหน้าขนาด 49 มม. แบบ Dual Bending Valve ซึ่งถึงจะไม่ได้ให้มาเป็นหัวกลับแบบรุ่น CVO แต่ก็ยังมีความหนืดและรองรับการถ่ายเทน้ำหนักของทั้งคนกับรถได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในจังหวะเบรกหนัก ๆ ที่หน้ารถไม่มีอาการทิ่ม ปักลงอย่างไว ส่วนโช้คหลัง Showa ที่มีการเพิ่มช่วงยุบขึ้นมาอีก 50% พร้อมปรับ Preload ได้ ก็ดีงามไม่แพ้กัน ไม่โยน ไม่ย้วย และไม่ยันยุบจนสุดช่วงเวลาเจอหลุม เจอบั๊ม เมื่อรวมเข้ากับน้ำหนักตัวที่ลดลง มันยิ่งทำให้ 2024 Street Glide™ กลายเป็นแบกเกอร์ที่ขี่ง่าย ขี่เพลิน บิดสนุก กำลังถึงใจ ที่มีความครบเครื่อง ระบบอิเล็กทรอนิกส์เองก็มีความครบครัน IMU 6 แกน, ลิงก์เบรก, C-ABS, Traction control, C-DSCS ยกมาหมด จอใหญ่เต็มตา เปิดเพลงเสียงดีกระแทกใจ เรื่องความร้อนก็คุมได้อยู่มือด้วยการส่งน้ำจากหม้อน้ำไหลไประบายความร้อนรอบ ๆ วาล์วไอเสียผ่านร่องโดยวิ่งไปยังสูบหลังก่อนแล้ววกกลับมาสูบหน้า พร้อมพัดลมหลังหม้อน้ำที่หันลงพัดความร้อนออกไปยังใต้ตัวรถ ไม่ให้มาถึงตัวผู้ขี่ คือมันดีขึ้นกว่าเดิมในทุก ๆ ด้านจริง ๆ
On Track
จากฟ้าที่เคยสดใสพอถึงช่วงบ่ายที่เป็นตาของกลุ่มเราต้องลงแทร็กบ้างกลับมีสายฝนโปรยลงมา แต่ไหน ๆ มาแล้วก็ต้องขี่! หลังเอา Sportster™ S ออกไปลองวิ่งอยู่ประมาณ 3 รอบ เพื่อประเมินว่าแทร็กยังพอขี่ได้ ผมก็วกกลับมาเปลี่ยนเป็น CVO Road Glide ST ปี 2024 ตัวสุดรุ่นใหญ่ในไลน์อัพ ขี่รถแพงมาก็เยอะ แต่วันนี้เพิ่งจะเคยเอาฮาร์ลีย์ราคา 3.2 ล้าน เท่าบ้านเดี่ยวหนึ่งหลังลงไปบิดแบบ Wet race
มุ่งหน้าลงแทร็กอย่างแรกที่ทำให้ถึงกับเลิกคิ้วคือ CVO Road Glide ST มันบิดแล้วพรวดทันที คันเร่งไฟฟ้าตอบรับได้คม ไม่มีหน่วง ไม่มีรอรอบ กดเป็นมา เครื่อง Milwaukee-Eight 121 High Output (HO) บล็อกนี้ถึงจะไม่มีระบบ VVT เพราะฮาร์ลีย์ต้องการเอาใจสาวกที่ชอบความดั้งเดิม รักความวิ่ง ความซิ่ง ความแซ๊ด ด้วยการเพิ่มแคมแบบ High Performance ใส่ท่ออากาศไอดี (Air Intake) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการแข่งขัน พร้อมปรับจูนให้เครื่องมีแรงม้าแรงบิดมากกว่าเดิม จนแรงม้าสูงสุด 126 HP มาที่ 5020 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดทะลุทะลวง 193 นิวตันเมตร ซึ่งมาที่ 3250 รอบ/นาที ในขณะที่เรดไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 5,900 รอบ/นาที นอกนั้นในส่วนอื่นของเครื่องเคราก็จะเหมือนกับเครื่อง M8 121 VVT ทั้งหมด
อีกอย่างหนึ่งที่ต่างกันคือการใช้พูลเลย์หน้าขนาด 30 ฟัน (เล็กลง 2 ฟัน) ทำให้อัตราทดของ CVO Road Glide ST มีระยะการเปลี่ยนเกียร์ที่ยาวขึ้น รับกับกำลังที่เพิ่มเข้ามาได้ดี แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง ด้วยความที่รอบต่ำนั้นมาเร็วมาก เพื่อพาน้ำหนัก 380 กก. ของตัวรถที่ยังไม่รวมผู้ขับขี่ ให้ลอยตัว และทะยานออกไปได้เร็วมากที่สุดด้วยแรงม้าพร้อมแรงบิดที่จูนมาแบบเต็มกราฟ ซึ่งแตกต่างจากตัว VVT ที่ขึ้นแบบเนียน ๆ มันจึงบังคับให้ผู้ขี่ต้องเพิ่มความแม่นยำ และเปลี่ยนเกียร์ในรอบต่ำ-กลาง ให้เร็วมากยิ่งขึ้น หากเผลอลากรอบยาวเกินไปกล่อง ECU ก็จะทำการตัดทันที เกียร์ 1-4 เลยต้องงัดให้เร็วขึ้นตามรอบเครื่องและข้อมือ คือมันมีคาแลคเตอร์แบบรถสปอร์ตพลังสูงเลย ซึ่งพอมาเจอกับผิวแทร็กที่เปียก บางจุดของการเดินคันเร่งจึงต้องเอียงตัวต้านพยายามรักษาบาลานซ์ช่วยล้อหลังที่เกิดอาการสลิปนิด ๆ จากกำลังที่พลั่งพรูออกมา แต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวแบบใจหายใจคว่ำ หรือต้องขี่แบบคลาน ๆ เพราะรู้สึกเลยว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้นทำงานเพื่อให้ล้อกลับมามีแรงยึดเกาะอย่างรวดเร็วในทุกองศาการเอียงรถ
พอรออีกพักจนฝนเริ่มซา แดดเริ่มออก แทร็คที่เคยเปียกก็กลายเป็นหมาด เกียร์ลูกนี้เป็นเกียร์ตัวเดียวกับในเครื่อง 121 VVT ที่พัฒนา Shift Drum-Shift Fork เฟืองเกียร์ และชุดคลัตช์มาใหม่ทั้งระบบ ความเข้าง่าย ความลื่น นิ่มนวลให้การเปลี่ยนเกียร์บอกเลยว่าหายห่วง จอดเข้าเกียร์ว่างง่าย ออกตัวบีบคลัตช์ระบบตัดกำลังได้หมดจด คลัตช์นุ่มกว่าตัวเก่าแบบเห็นได้ชัด ลงแทร็กไล่เกียร์ผ่าน 2-3 งัด 4 พอขึ้น 5 เราจะสามารถใช้รอบเครื่องได้เต็มคาราเบล ไล่ยาวไปขึ้นเกียร์ 6 เพราะอัตราทดเกียร์ช่วงนี้มันรับกับเครื่องยนต์รอบสูงที่ใช้อยู่ ความวิ่ง ความแรง จึงบังเกิด เลยต้องเอียงรถให้เยอะขึ้นตาม
ระบบกันสะเทือนถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เสริมเพอร์ฟอร์แมนซ์ให้กับ CVO Road Glide ST เพราะโช้คหน้าหัวกลับขนาดแกน 47 มม. ให้มาแบบปรับตั้งได้ Fully adjustable โช้คหลัง Showa เองก็เช่นกัน มีรีโมทหมุนปรับติดมาให้อยู่ที่ด้านท้าย สะดวกมาก พอรวมเข้ากับแผงคออลูมิเนียมที่กว้างขึ้นอีก 2 นิ้ว เลยทำให้เราสามารถเอียงรถและทำมุมเลี้ยวได้แบบไม่น้อยหน้ารถสปอร์ตเลย การซับแรงและทำงานของระบบกันสะเทือนก็ช่วยแชร์น้ำหนักกดตัวลงสู่ผิวแทร็คได้แม่นยำ ทำให้ยางไม่ต้องรับภาระหนักและเกาะแทร็กได้หนึบแน่น ทั้งตอนยก เบรก และตอนเร่ง
โครงสร้างเฟรมที่ออกแบบมาให้มีการกระจายน้ำหนัก ส่งผ่านแรงหน้า-หลัง ได้แบบพอเหมาะ น้ำหนักรวมของเครื่องกับรถตกจุดศูนย์กลางพอดี ผนวกกับการยกเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นอีกอย่างน้อย ๆ 2 นิ้ว แต่ความสูงโดยรวมทั้งหมดของรถยังเท่าเดิม ทำให้รถเอียงได้เยอะเวลาเข้าโค้ง ในแทร็กอาจมีเสียงครูดของเซ็นเซอร์พักเท้าให้ได้ยินบ้างในบางโค้ง แต่ถ้าเป็นบนถนนทั้งที่ไปทดสอบในงานเปิดตัว และนำรถไปเทสเอง เป็นระยะทางรวมกันหลายร้อยโล เซ็นเซอร์พักเท้า ครอบคลัตช์ หรือแม้กระทั่งท่อไอเสีย ไม่เคยลงไปครูดพื้นให้ได้ยินเลย แม้จะเอียงรถเยอะก็ตาม ยกขึ้นแค่เครื่อง แต่ความสูงของรถยังเท่าเดิม ยางใหญ่ รถยังเตี้ย เอาเท้าลงพื้นได้ง่ายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเข้าโค้งได้เร็ว เนียน เรียบและเกาะถนนมากยิ่งขึ้น
ลุย Dirt
หนีมาสถานี Dirt ที่อยู่ห่างจากสนามพีระประมาณ 10 นาที ฝนยังลอยไล่ตามมาแบบไม่มีลดละ สำหรับ Pan America 1250 ปี 2024 ที่เราจะใช้ขี่นั้นเป็นรถซึ่งเปลี่ยนใส่ยาง MUD มาแล้ว วันนี้ต่อให้ฝนตกทางเละยังไงก็เรียกว่าลุยกันได้เต็มที่ โดยเส้นทางที่วิ่งนั้นมีทั้งทางทราย ร่องเปียก เนินกระโดด โค้งคดเคี้ยววิ่งลงไร่สัปปะรด ในเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ของเครื่องยนต์ Revolution max อันนี้หลายคนที่เคยขี่ย่อมต้องรู้ฟีลลิ่งกันดีอยู่แล้วว่ามันตอบรับการเรียกอัตราเร่งได้ฉับไว แรงเหลือ และคุมง่าย ส่วนระบบกันสะเทือนก็ต้องบอกว่าถึงจะลงหลุม สาดโค้งแบบ Power Slide หรือแม้กระทั่งโดดเนิน แต่ก็ไม่มีซักครั้งที่รู้สึกว่ามันกระแทกจนสุดสโตรก ไม่มียัน ไม่มีเสียงกึก แม้ในขณะลุย เนื่องจากมีการปรังปรุงในส่วนของช่วงล่าง และการทำงานของระบบ Adaptive Ride height อย่างหนึ่งที่สังเกตุได้ซึ่งแตกต่างจากรุ่นเก่าเวลานำมาขี่ลุยแบบนี้คือการทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโหมดขับขี่ ระบบ TC ฯลฯ ที่ทำงานได้เสถียร และไวมากยิ่งขึ้น เอียงรถกดคันเร่งสาดโค้งล้อหลังสลิปแทร็กชั่นทำงานแค่เสียววิให้กลับมาเกาะแล้วไปต่อ บางช่วงแทบไม่รู้สึกเลยว่าระบบทำงานอยู่ถ้าไม่เหลือบตาลงไปมอง คือมันขี่ได้เนียนและไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น อย่างหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตเล็กน้อย คือตอนต้องขี่ฝ่าฝนกลับสนาม คือแฮนด์ที่ไม่แน่ใจว่าทาง H-D ปรับองศาไว้ให้ขี่สำหรับสถานีนี้ง่ายขึ้นรึเปล่า เพราะรู้สึกว่ามันตั้งกว่าที่ผมจำได้ พอตั้งเยอะเกิน ไอ้ตอนยืนขี่ ตอนลงลุยออฟโรดมันก็ทำได้ถนัดดีอยู่หรอก แต่พอเรานั่งขี่หรือใช้งานบนถนนดำในความเร็วแล้วไม่ได้ยืนเนี่ย ช่วงไหล่ แขน ข้อมือ และลำตัว ขอจะสูญเสียแรงในการควบคุมรถไป ทำให้ขี่ได้ไม่ถนัดเท่าที่ควร
กลับโรงแรม อาบน้ำให้สดชื่น นั่งพักจนหายเหนื่อยล้า เราก็ลงไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกันอย่างครื้นเครง ปีนี้เข้าปีที่สามที่มีการจัด Harley-Davidson® Dirt. Road. Track. Media Experience อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือพัฒนาการ และการเติบโตของแบรนด์ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ในตลาดเกิดใหม่อย่างเอเชีย ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากนานาประเทศ รวมถึงในบ้านเราด้วยเช่นกันที่ยอดจำหน่ายของตัวแบรนด์สามารถเดินได้ดีเกินคาด พร้อมมีฐานลูกค้าที่กว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น หลายรุ่นถูกนำมาประกอบในไทย หลายรุ่นทำราคาออกมาได้ดีกว่าเดิม เราได้เห็นคนขี่ฮาร์ลีย์มากขึ้น ลูกค้าใหม่เยอะขึ้น เรียกว่าการเติบโตของ Harley-Davidson Asia ยังไปได้อีกโข วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ขอบคุณทีมงานทุกท่านจาก H-D และน้องๆ ผู้สื่อข่าวสายจักรยานยนต์จากหลากหลายประเทศที่มาร่วมขับขี่ด้วยกันในครั้งนี้ด้วยครับ…
ติดตามความเคลื่อนไหวของฮาร์ลีย์สำหรับตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและอินเดียได้ที่
- Facebook: @HarleyDavidsonAsia
- Instagram: @HarleyDavidson_Asia
- YouTube: Harley-Davidson Asia
- TikTok: @HarleyDavidson_Asia
- LINE Official Account: @HarleyDavidsonTH
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดทดลองขับขี่ได้ทุกวัน
Inbox: m.me/HDBKK
Line: https://shop.line.me/@hdbkk
> Tel.: 099-339-1888, 02-318-8488
- Word/Test: Saen Boonchoeisak
- Photo: FastRides, HarleyDavidson Asia