Indian Scout Bobber Twenty ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเก๋าและสมรรถนะของครุยเซอร์ยุคใหม่สไตล์อเมริกัน
อินเดียน มอเตอร์ไซค์เคิล แบรนด์รถจักรยานยนต์สายเลือดอเมริกันแท้ ๆ ที่บ่งบอก ‘ตัวตน’ และความเป็นต้นตำรับของตนเองได้อย่างชัดเจน ด้วยชื่อเสียงเรียงนามที่ได้รับการยอมรับและสั่งสมมากว่า 100 ปี ตั้งแต่ ค.ศ 1901 ผ่านชื่อและตราสัญลักษณ์อินเดียนแดง ชาวเนทีฟอเมริกันซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกามานานก่อนที่ยุโรปจะอพยพถิ่นฐานเข้ามาตั้งรกราก จากวันนั้นถึงวันนี้ อินเดียน มอเตอร์ไซค์เคิล ได้นำความเป็นออริจินอลปรับให้เข้ากับยุคสมัยที่เทคโนโลยีของรถจักรยานยนต์นั้นมีความก้าวหน้ากว่าช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมามาก แน่นอนว่าภารกิจในการทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคลาสสิค สามารถถ่ายทอดมนตร์เสน่ห์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานให้เข้ากับ ‘ความโมเดิรน์’ ของยุคสมัยใหม่นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อินเดียนก็ยังสามารถตีโจทย์นี้ให้แตกได้จนผลิตภัณฑ์ของพวกเขาได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบรถสไตล์ครุยเซอร์ หรือรถคัสตอม ทั่วโลก
วันนี้เรามีโอกาสได้มาอยู่กับ Indian Scout Bobber Twenty รถอีกหนึ่งรุ่นในตระกูล Scout รถจักรยานยนต์ Midsize สไตล์เรโทร ที่นอกจากจะสวยแล้วยังมีพละกำลังเหลือเฟือจากขุมพลัง V-twin ความจุ 69 ลูกบาศก์นิ้ว (1133 ซีซี) ระบายความร้อนด้วยน้ำ อะไรที่ทำให้รถรุ่นนี้โดดเด่น และได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ไบค์เกอร์ชาวอเมริกัน วันนี้เราจะได้รู้คำตอบกันครับ…
A MODERN TAKE ON A CLASSIC
ต้องยอมรับก่อนว่า Indian Scout Bobber Twenty รุ่นนี้ มันหล่อมากไม่ว่าจะมองจากระยะไกลหรือเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ในส่วนของดีไซน์นั้นเห็นได้ชัดว่าทางอินเดียนยังคงกลิ่นอายของความดั้งเดิมแบบ Old school ที่มองเมื่อไหร่ก็ชวนให้นึกถึงกลิ่นอายของอดีตเอาไว้ โดยสอดแทรกความทันสมัยเข้าไปในรูปแบบของสมรรถนะและเทคโนโลยีภายในขุมพลัง ไม่ว่าจะจากระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ใช้หม้อน้ำใบโตแต่ถูกปิดไว้ด้วยกรอบสีดำอย่างแนบเนียน ระบบหัวฉีด การออกแบบโครงสร้างของเครื่องยนต์ให้อยู่ในบล็อกเดียวกัน ฯลฯ
ส่วนภายนอกทั้งหมดยังได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Scout ตัวออริจินอล โดยถูกแต่งแต้มความสวยงามเข้าไปในรูปแบบของชิ้นส่วนโครเมียม การเก็บงานด้วยสีดำแบบ Blacked-out ที่ทำให้ตัวรถดูดุดัน เก๋าเกม แฮนด์สูงแบบ Mini-ape ที่บังคับท่านั่งในการควบคุมให้มีความสบาย ผ่อนคลาย ออกแนวจิ๋กโก๋ ขี่ไกลไม่เมื่อย
ล้อซี่ลวดตามสไตล์คลาสสิคที่เกาะถนนดีและให้การบังคับมุมเลี้ยวคล่องตัวเพราะรัดมาด้วยยางสปอร์ตกลม รวมถึงเบาะหนังเดี่ยวซึ่งถูกออกแบบมาตามสไตล์ Bobber ให้ดูกวน ๆ ก้าวร้าว เน้นนั่งขี่เท่ห์ ๆ ยาวไป แต่ไม่ค่อยประนีประนอมออมชอมในเรื่องของความสบายซักเท่าไหร่หากใช้ความเร็วสูง (ถ้าไม่ปรับวิธีการขับขี่) เรือนไมล์กลมมาตรวัดความเร็วเป็นเข็มและมีจอ LCD เล็ก ๆ ฝังอยู่ตรงกลางด้านล่าง ส่วนที่ชอบมากคือตำแหน่งของเบ้ากุญแจซึ่งอยู่บริเวณด้านซ้ายใต้ถังน้ำมันระหว่างสูบทั้งสอง อันนี้คือคลาสสิคสุด ๆ
100 HORSES. UNLEASHED.
เครื่องยนต์ ความจุกระบอกสูบ 1,133 ซีซี (69.14 ลูกบาศก์นิ้ว) V-Twin 60° สี่จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ D.O.H.C. 4 วาล์ว/สูบ ให้แรงม้าสูงสุด 100 hp และแรงบิดสูงสุด 97.7 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบ/นาที แรงอัดสูงสุด 10.7:1 ตรงนี้น่าสนใจมากเพราะกำลังของเครื่องยนต์มาจากมิติกระบอกสูบ x ช่วงชักที่พัฒนา และเปลี่ยนพื้นฐานเครื่องยนต์แบบดั้งเดิมใหม่ทั้งหมด คือใช้กระบอกสูบ 99.0 มม. x ช่วงชัก 73.6 มม. แบบ Over square (Big bore x short stoke) พลังอันมหาสารส่งตรงมาจากลูกสูบที่ใหญ่เอามาก ๆ เรียกว่าถ้าเทียบกับรถสปอร์ตจากยุโรปที่ใช้เครื่องยนต์ V-Twin ก็เล็กกว่ากันแค่ 3 มม. เท่านั้น
แต่เราจะเห็นว่าช่วงชักนั้นสั้นเอาเรื่องตรงนี้ทำให้แรงบิดนั้นมาเร็ว เพราะระยะการเดินทางของลูกสูบในกระบอกสูบจาก T.D.C. ไป B.D.C. สั้นมาก เร็วกว่าเครื่องยนต์ Push-rod ที่เราเรียกว่าเครื่องยนต์ “ก้านกระทุ้ง” ที่มีช่วงชักยาวกว่า 100 มม. หากเครื่องยนต์บล็อกนี้เพิ่มช่วงชักให้ยาวเท่ากับเส้นรอบวงของลูกสูบหรือใกล้เคียงกันก็จะทำให้ซีซีนั้นเพิ่มขึ้นอีกมาก แต่ก็จะทำให้เครื่องยนต์ใหญ่ขึ้นและอัตราเร่งนั้นมาช้ากว่านี้แน่นอน อีกจุดที่ทำให้เครื่องยนต์ทรงพลังคือ การใช้เรือนลิ้นเร่งขนาด 60 มม. พร้อมปรับการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดแบบ Closed Loop อย่างเหมาะสม ที่เหมือนเดิมคือยังคงใช้สายพานเป็นตัวขับเคลื่อนของ Final drive แต่ระบบคลัตช์เป็นแบบรวมในเครื่องยนต์ primary gear และชุด Secondary gear โดยชุดเกียร์ 6 สปีดอยู่ในบล็อกเดียวกันและใช้เกียร์เฟืองตรง (Spur gear) ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนอัตราทดเป็นความเร็วได้ดีทีเดียว เครื่องบล็อกนี้เปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดโดยขับเคลื่อนกลไกบนชุดฝาสูบด้วยโซ่ราวลิ้นซับเสียง ทุกชิ้นส่วนถูกสร้างขึ้นมาให้ขุมพลังบล็อกใหม่มีพลังและให้ศักยภาพสูงสุด
แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับรถสไตล์นี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของระยะฐานล้อ ความยาวของตัวรถยังคงรับหน้าในการทำให้การขับขี่นั้นนิ่งแบบนอนมา โดยคำนึงถึงการเดินทางระยะไกลที่ต้องนั่งสบาย วางขา ลำตัว หลัง ช่วงแขน ได้อิสระ ความยาวระยะฐานล้อจึงถูกกำหนดมาที่ 1,576 มม. เฟรมอลูมิเนียมฉีดขึ้นรูปแบบไดคาสต์ถูกกำหนดมาให้ยึดเครื่องยนต์ไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเฟรมยาวมาจนถึงกรอบหม้อน้ำเป็นชิ้นเดียวกัน ตัวแปรสำคัญอีกจุดคือความลาดเอียงของกันสะเทือนหน้า (Trail) 120 มม. ซึ่งบ่งบอกถึงความนิ่ง เสถียร พร้อมองศาคอ (Rake) 29.0° ตามสไตล์การออกแบบรถแนวนี้ โดยกันสะเทือนที่ให้มาหน้าเป็น Telescopic ขนาดแกน 41 มม. และหลังแบบ โช้คคู่ มีระยะ Travel 51 มม. อีกเหตุผลที่ทำให้รถ Indian scout bobber twenty รู้สึกเบาไม่ว่าจะเข็นหรือจอดแล้วใช้เท้าดันคือ การใช้ล้อขนาดเล็กด้วยล้อหน้าขนาด 130/90-16 และล้อหลัง 150/80-16 ที่จับคู่มากับดิสก์เบรกเดี่ยวและระบบเบรก ABS โดยตัวรถมีน้ำหนักรวมแค่ 254 กก.
IT’S TIME TO HIT THE ROAD
สิ่งแรกที่ผมประทับใจคือ ท่านั่งบนเบาะเดี่ยวแบบ floating saddle ที่ทำให้รู้สึกอิสระ คล่องตัว กระฉับกระเฉง และหมดกังวล (เพราะไม่มีระบบเบรกรุ่นศรีภรรยามาคอยเตือนว่าขี่เร็วไปนะเธอ) แขนทั้งสองข้างยกขึ้นสูงไปจับแฮนด์สไตล์ Mini-ape ได้ลงตัวพอเหมาะเข้ากับทรงเบาะแบบกวน ๆ ซึ่งไม่เหมาะที่จะดันก้นไปสุดขอบเบาะเมื่อขี่ด้วยความเร็วต่ำ แต่ควรดันไปจนสุดก็ต่อเมื่อใช้ความเร็วสูงเพื่อให้มันช่วยล็อคตัวไม่ให้ไหล เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่ายเป็นระบบใหม่ที่ใช้การหมุนจากอัลเทอร์เนเตอร์ (Alternator) หรือจากชุดสร้างกระแสไฟจุดระเบิดแบบรถสปอร์ตพรีเมียมยุคใหม่ ที่มีเซนเซอร์ตรวจจับความแม่นยำของระบบมากกว่า 30 จุด ผสานการทำงานกับระบบคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-wide ซึ่งทำงานอย่างแม่นยำ นุ่มนวล
เครื่องยนต์เดินเบารอบต่ำที่ 1,100 รอบ/นาที โดยไม่มีการสั่นสะเทือนใด ๆ เพราะมีเคาเตอร์บาลานซ์เซอร์อยู่ด้านในเหมือนในรถสปอร์ต และยังมีล้อหลังมาช่วยลดแรงสะท้านอีกจุดจึงทำให้เครื่องยนต์นั้นนิ่งมาก กำลังจากข้อเหวี่ยงถูกส่งขึ้นสู่ชุดฝาสูบด้วยโซ่ราวลิ้นซับเสียงเพื่อเปิด-ปิด วาล์วไอดี-ไอเสีย ของระบบ ทวินแคมหรือ D.O.H.C. ทั้งสองสูบ จะเห็นว่าเครื่องยนต์บล็อกนี้ให้กำลังอัดแค่เพียง 10.7:1 พร้อมใช้เลือนลิ้นเร่งขนาด 60 มม. และกำหนดให้การเปิด-ปิด แคมชาร์ฟนั้นกว้างมากเพื่อให้ทำความเร็วได้ดี ลดเอ็นจิ้นเบรกในจังหวะลดความเร็ว-ลดเกียร์ต่ำ และไม่ทำให้ความเร็วปลายเกียร์ตัน ทำงานผสานกับลูกสูบที่ใหญ่เพื่อต้องการให้แรงบิดไปถึงช่วงพีคทอร์คที่ 6,000 รอบ/นาทีอย่างรวดเร็ว แต่มาแบบไม่หนักจนกระโชกโฮกฮาก จึงกำหนดให้ช่วงชักสั้น (ซึ่งมันกำหนดให้ข้อเหวี่ยงเล็กและน้ำหนักเบาตามไปด้วย)
ขี่สบายยาวไป บทอยากชิลด์ก็ชิลด์ได้ อยากดุดันก็เร่งได้ทันที
การหล่อหลอมเครื่องยนต์ให้ชุดคลัตช์และชุดเกียร์รวมกันอยู่ในบล็อกเดียวพร้อมเปลี่ยนการทำงานของระบบส่งกำลังไปยังชุดฝาสูบ ทำให้อัตราเร่งยิ่งมาเร็วเมื่อเทียบกับเครื่องที่ยังคงใช้ระบบ Push rod ที่แยกชิ้นส่วนของคลัตช์และเกียร์ออกจากกันในห้องเครื่องยนต์ (แต่ก็ดีไปคนละแบบ) ซึ่ง Indian ยังคงมีระบบดั้งเดิมแบบนี้อยู่ แต่ก็ผสมผสานระบบใหม่ ๆ แบบที่ใช้ใน Scout ตัวนี้เข้าไปในรถอีกหลายรุ่น เมื่อเครื่องยนต์ถูกออกแบบให้มีอัตราเร่งและแรงบิดมาเร็ว การปรับอัตราทดเกียร์เพื่อรองรับและสร้างความเร็วจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เกียร์ปกติ 5 เกียร์ที่รถสไตล์นี้นิยมใช้จึงถูกเพิ่มอัตราทดเป็น 6 สปีด เพราะต้องการให้การตอบรับระหว่างกำลังงานกับรอบเครื่องยนต์ที่เป็นตัวแปร และปัจจัยหลักของความเร็วมีความลงตัว โดยกำหนดให้เกียร์ 1 สั้นกำลังงามที่ 10.926:1 หากเปรียบเทียบกับอัตราทดเกียร์ 2 ที่ 7.427:1 จะเห็นได้ว่าเกียร์ 1 มันสั้นกว่าเกือบ 3 % เพราะเครื่องยนต์พีคสูงสุดที่ 6,000 รอบ/นาที
เอ เย็นนี้จะกินอะไรดีนะ?
ดังนั้นหากเราต้องการทำความเร็วหรือใช้งานมันในรอบต่ำให้เกิดความนิ่มนวลจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์ให้เร็วรับกัน หากใช้รอบต่ำที่เกียร์ 1 ตั้งแต่ 1,100 รอบ/นาที หรือถ้าขี่ช้า ๆ ไม่เกิน 1,300 รอบ/นาที เครื่องยนต์จะกระตุกจึงต้องรีบเปลี่ยนเกียร์ 2-3 รถจึงจะสามารถวิ่งไปได้แบบนุ่ม ๆ โดยไม่ต้องเร่งเครื่องเพิ่ม เพราะฉะนั้นถ้าใช้ความเร็วต่ำแบบขี่ตามกันในการจราจรหนาแน่น คุณสามารถใช้เกียร์ป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ เกียร์ 2-3 ได้เลย เมื่อมันมีพลังแบบนี้ หากรอบเครื่องอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 รอบ/นาที โดยอยู่ในเกียร์สูงหรือแม้กระทั่งเกียร์ 6 คุณก็สามารถเร่งออกไปได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลว่าล้อมันจะฟรี หรือมีอากาสะบัดใดๆ (อันนี้คอนเฟิร์ม) ถ้าขี้เกียจลดเกียร์/ลืมเปลี่ยนเกียร์เวลาติดไฟแดง ถึงรถจะอยู่ในเกียร์หกและออกตัวจากรอบต่ำที่ 1,100 รอบ/นาที มันก็ยังไปได้โดยต้องใช้คลัตช์ช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอความเร็วรอบตวัดขึ้นมาถึงช่วง 2,000-2,500 รอบ/นาที ก็สามารถกดคันเร่งต่อไปได้เลยโดยไม่ต้องลดเกียร์ต่ำเพื่อเรียกแรง คือมันทรงพลังโดยไม่ต้องมานั่งกังวลอะไรมาก หากทำความเข้าใจกับคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์แล้วจะบิดขึ้นเหนือล่องใต้ก็ชิลด์ได้แบบยาวไป
มาถึงระบบกันสะเทือนกันบ้าง สำหรับกันสะเทือนหน้า-หลังของ Scout Bobber Twenty สำหรับผมถือว่าโอเคมาก โอเคยังไง? คือมันรองรับน้ำหนักโดยรวม น้ำหนักที่ถ่ายเทไปมาหน้า-หลังเมื่อมีการใช้งานคันเร่ง/เบรกหนัก ๆ รวมถึงคืนตัวหลังใช้เบรกหน้าและซับแรงกระแทกจากพื้นทั้งทางตรง-ทางโค้งได้เป็นอย่างดี จากโช้คหน้าแกน 41 มม. ที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาใหม่ โดยเปลี่ยนค่าความแข็งของสปริง วาล์วน้ำมันและสปริงตัวล่างสุดที่รองรับแรงกระแทก เมื่อรวมกับการใช้ยางหน้าขนาด 130/90-16 และยางหลัง 150/80-16 จึงช่วยให้รถทำมุมเลี้ยวได้เร็วและฉับไวมากยิ่งขึ้น การเลี้ยวมุมแคบ ๆ หรือกลับรถบนถนนเลนส์สวนเองก็ยังสามารถทำได้ง่าย
แต่จุดที่น่าสังเกตคือ เขาเลือกใช้กันสะเทือนที่ค่อนข้างมีความแข็ง รวมถึงใช้ยางที่มีแก้มสูงให้รับกัน พอรวมเข้ากับล้อขอบ 16 นิ้วและลมยางมาตรฐานที่สูง มันจึงส่งผลให้ตัวรถขี่แล้วรู้สึกเต้น ๆ เล็กน้อยเมื่อวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่สูงมาก ซึ่งถ้าว่ากันตามเทคนิคแล้วก็ต้องเป็นแบบนั้นเพราะแก้มยางสูงลมยางเยอะย่อมเซนซิทีฟ หลายคนเลยเข้าใจผิดว่าการสั่นดังกล่าวมาจากการทำงานของเครื่องยนต์ซึ่งมันไม่ใช่ แต่พอความเร็วไหลขึ้นมาแล้วแก้มยางหน้า 90 มม. และหลัง 80 มม. ที่เลือกใช้กลับเป็นจุดแรกที่ช่วยกระจายแรงสะเทือนจากการวิ่ง ซึ่งช่วยลดภาระการทำงานของโช้ค หนำซ้ำเมื่อรวมกับระยะ Rake และ Trail ที่วางมายังเพิ่มความเกาะถนนและทำให้รถวิ่งแล้วนุ่มขึ้นทั้งทางตรง/ทางโค้ง รวมถึงมีความสูงจากพื้นที่พอเหมาะอีกด้วย
เมื่อหลุดมาถึงช่วงที่มีทางตรงยาว ความอยากรู้คือสิ่งที่ผลักดันให้ผมเริ่มหมอบต่ำเพื่อพยายามหลบให้อากาศนั้นเข้ามาปะทะตัวน้อยที่สุด พร้อม ๆ ไปกับการเปิดคันเร่งและเริ่มไล่เกียร์ พอรอบเครื่องยนต์พุ่งขึ้นไปเกิน 4,300 รอบ/นาที จึงเริ่มหมอบต่ำลงไปอีกโดยกดหน้าอกลงมาให้ติดถังและเลื่อนมือซ้ายมาจับที่โคนแฮนด์แบบการขี่รถ Flat Track ความเร็ว ณ ตอนนั้นพุ่งทะยานขึ้นไปถึง 180 กม./ชม. ที่รอบเครื่อง 5,750 รอบ/นาที สำหรับ Scout Bobber Twenty ที่เป็นรถใหม่และเครื่องยังฟิตมาก เรียกว่าถ้ามีทางให้ไปก็หมอบยาวได้ถึงอเมริกา! เมื่อลองเพื่อให้รู้จนพอใจแล้ว อย่างหนึ่งที่พบคือการใช้ความเร็วบนรถสไตล์นี้มันค่อนข้างเป็นอะไรที่เพลินดีทีเดียว ไม่ว่าจะจากตัวรถที่นิ่ง เสียงที่กระหึ่ม และตัวคุณที่อยู่ในท่วงท่าการขับขี่แบบสบาย ๆ แต่ยังควบคุมทุกอย่างไว้ได้อย่างหมดจด ครั้นนึกอยากชะลอความเร็วระบบเบรกที่ให้มาก็สามารถหยุดความเร็วได้ดีแบบไม่ต้องมานั่งลุ้นอะไรเลย ยิ่งตอนที่วิ่งเข้าอุโมงค์เสียงที่เปล่งออกมาจากท่อไอเสียแบบ 2-1 มันยิ่งเร้าใจก้องกังวาลสุด ๆ
ฮั่นแน่ ชอบเร่งเครื่องเหรอเราอ่ะ?!
สรุปแล้ว Scout Bobber Twenty เป็นรถครุยเซอร์ที่ขี่ง่าย คุมง่ายและเลี้ยวง่าย เกียร์ก็ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย นึกจะเร่งก็เร่งได้เลยโดยไม่ต้องลดเกียร์ต่ำ ลืมเปลี่ยนเกียร์ก็สามารถออกตัวได้ถ้าเลี้ยงคลัตช์ไว้ซักหน่อย ถึงผมจะมีโอกาสได้สัมผัสรถสไตล์นี้มาไม่น้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นอายและส่วนผสมระหว่างความเป็น Old school ของสไตล์ และ New School ของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ทางอินเดียนบรรจงปั้นออกมาใน Bobber Twenty รุ่นนี้มันเป็นอะไรที่ลงตัวมาก ๆ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าผู้มีทักษะหากสนใจรถสไตล์นี้ ผมแนะนำไปลองขี่ดูทาง Indian Motorcycle Thailand เขาพร้อมอยู่แล้ว รับประกันได้เลยว่าจะต้องถูกใจอย่างแน่นอนครับ
ขอบคุณทีมงานทุกท่านสำหรับทริปขับขี่ทดสอบในครั้งนี้ด้วยครับ
World: Saen BoonChoeisak
Pic: ไพโรจน์ จำนาญศิลป์, Chaiwat Toeyhom