Bridgestone Battlax แกร่ง หนึบ ทน..!!
รถจักรยานยนต์ในทุกวันนี้ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์ใหญ่หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “บิ๊กไบค์” ถูกพัฒนาให้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว และล้ำสมัยกว่าช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมามาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์พลังสูงสองร้อยแรงม้าที่นำพาความเร็วไปแตะ 300 กม./ชม. หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ล้ำสมัยต่าง ๆ ที่รู้แม้กระทั่งองศาการเอียงของรถ ไปจนถึงปรับระบบกันสะเทือนให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมความแรงดังกล่าวได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่จำเป็นต้องวิวัฒนาการ และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิตเพื่อให้สามารถรองรับศักยภาพของสองล้อเหล่านี้ได้อย่างเต็มสมรรถนะคงหนีไม่พ้นยาง ตัวกลางสำคัญที่ถ่ายทอดพลังการขับเคลื่อนและการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน รับน้ำหนักรถ น้ำหนักบรรทุกทั้งหมด ทั้งยังมีส่วนช่วยลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือน
ช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา Bridgestone คือแบรนด์ยางระดับโลกที่เข้ามาทำตลาดได้อย่างโดดเด่นในบ้านเรา ซึ่งกุมบังเหียนโดย คุณโอ๊ต ตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซแม็กซ์ มอเตอร์สปอร์ต จำกัด ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายยางรถจักยานยนต์ บริดจสโตน ภายใต้ชื่อบริดจสโตน โมโต ไทยแลนด์
เมื่อมีอีเมลแจ้งมาเชิญให้ไปทดสอบยาง Bridgestone ในงาน Bridgestone Battlax Trackday 2023 ณ สนามช้าง ผมเองไม่รอช้าที่จะตอบรับ เพราะถึงเมื่อก่อนตอนยังแข่งและทำทีมจะมีโอกาสได้สัมผัสยาง Bridgestone มาบ้าง แต่พอมาวันนี้เขาเข้ามาทำตลาดอย่างชัดเจนด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมในทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ RACE & SPORT ไปจนถึง CRUISER และสกู๊ตเตอร์ เลยอยากทราบว่าประสบการณ์ที่บริดจ์สโตนสั่งสมมาจากเวทีความเร็วระดับโลก จะถ่ายทอดออกมาให้เห็นผ่านยางสายถนนและสายสนาม ของพวกเขามากน้อยซักแค่ไหน
เราเดินทางมาถึงสนามช้างโดยมีรถจักรยานยนต์แบรนด์ดังรุ่นยอดนิยมกว่า 40 คัน จากหลากค่ายรัดไว้ด้วยยาง Bridgestone รุ่นต่าง ๆ เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสกู๊ตเตอร์อย่าง X-ADV750 ที่รัดยาง AX41S ซึ่งเป็น Adventurecross scrambler รถสปอร์ตตัวท็อปอีกหลายแบรนด์ที่รัดยางสลิค V02 และ R11 ไปจนถึง Harley Davidson Breakout ที่ใส่ยาง H50 battlecruiser
แต่รีวิวในวันนี้จะขอเน้นที่ยาง Battlax ในกลุ่มของ Racing , Racing Street และ Hypersport ซึ่งรัดมากับรถ CBR1000 RR-R และ CBR650R ที่ผมมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยแต่ละรุ่นจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตัวไหนใส่เข้ามา มีกริปและขับขี่เป็นยังไงบ้าง เราไปติดตามกันได้เลยครับ
ก่อนลงสนามเราไปฟังบรีฟจาก คุณโอ๊ต ตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กันซักหน่อย
เทคโนโลยีสำคัญ
ถ้าจะพูดถึงเทคโนโลยีที่ทาง Bridgestone ใช้ออกแบบและผลิตยางซีรีย์นี้ก็ต้องบอกเลยว่าอัดมาแบบโฮกฮือ เริ่มกันตั้งแต่โครงสร้างอย่าง MS-BELT เทคโนโลยีขดลวดน้ำหนักเบาที่ใช้หุ้มโดยรอบของยาง ให้สมดุลและรองรับการใช้งานในความเร็วสูงได้ดี ซึ่งเป็นดีไซน์แบบ V-MS ที่ช่วยรักษาระยะห่างของเส้นที่พันรอบๆ วงของยาง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ปรับความยืดหยุ่นของยางทั่วบริเวณดอกยาง และเพิ่มพื้นที่ช่องว่างบริเวณขอบยางของยางหน้าเพื่อช่วยในการเข้าโค้ง และลดช่องว่างพื้นที่หน้ายางเพื่อลดระยะเบรกให้สั้นลง
ถัดมาคือ GP-BELT ชั้นขดลวดรอบนอกที่ช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสให้กับยาง ทำให้การยึดเกาะขณะเร่งออกจากโค้งดีขึ้น ช่วยลดโอกาสที่อาจจะเกิดการลื่นไถล ทำให้เกิดการสึกหรอน้อยลง และอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น
สุดท้ายคือ ULTIMAT EYE™เทคโนโลยีเอกสิทธิ์ของ Bridgestone ที่ใช้วัดผลและแสดงข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับลักษณะการทำงานของยาง และผิวสัมผัสในทุกรูปแบบการขับขี่ในทุกสภาพถนน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนายาง เมื่อก่อนนี้การพัฒนายางหรือการสร้างยางต้นแบบ จะใช้การทดสอบโดยใช้เครื่องวัดหรือใช้คนขี่ทดสอบ แต่ ULTIMAT EYE ™เป็นการทดลองในห้องทดลอง ซึ่งสามารถจำลองการขับขี่แบบใช้ความเร็วสูงและลักษณะถอดแบบมาจากการขับขี่จริง โดยสามารถอ่านค่าและแสดงผลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเข้าใจผลลัพธ์จากการปรับปรุงหรือพัฒนาคุณลักษณะต่าง ๆ ของยาง
อันนี้คือเทคโนโลยีหลัก ๆ ที่ทาง Bridgestone ใช้ ซึ่งในยางแต่ละรุ่นนั้นยังมีอะไรพิเศษ ๆ เพิ่มเติมเข้ามาอีก แต่เราค่อยไปลงลึกในส่วนนี้ตอนขับขี่อีกทีว่าใส่เข้ามาแล้วมันช่วยอะไร และดียังไง…
ได้เวลาลงแทร็ค
การทดสอบถูกแบ่งเป็น 8 section รอบละ 20 นาที รุ่นแรกที่เลือกคือ Honda CBR 1000RR-R สีดำที่รัดยาง Bridgestone Battlax R1 ซึ่งเป็นยางให้กลุ่ม Racing หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่าสลิคมีดอก มักนิยมใช้ขับขี่ในสนามรวมถึงใช้ลงแข่งขันในรุ่น Super stock โดยเป็นยางไซส์ หน้า 120/70 R17 M/C 58V TL หลัง 200/55R17 M/C 58V TL คอมปาวด์ MEDIUM เติมลมตามสเปกหน้า 33 psi / หลัง 40 psi ซึ่งมีการห่มวอร์มยางมาให้เรียบร้อยก่อนลงแล้ว
Honda CBR 1000RR-R คันนี้เป็นโช้ค Showa แมนนวล ไม่ใช่ไฟฟ้า แน่นอนว่าระบบกันสะเทือนถูกปรับกลับตามค่ามาตรฐานโรงงาน รวมถึงเปิด Power ไว้ที่ 1 ให้กำลังและม้ามาเต็มพร้อมปิด Traction control เพื่อให้จับอาการของยางได้อย่างแม่นยำ
ลงวิ่งวอร์มแค่รอบเดียวก็พร้อมหวดทันที อย่างแรกที่พบคือ เมื่อใช้ความเร็วสูงมาสุดทางตรง รถนั้นนิ่งมาก ถึงเช้าวันนั้นอากาศจะเย็นและลมค่อนข้างแรง แต่ลมที่พัดมากระทบด้านข้างก็ยังไม่ทำให้รถกระพือ ส่วนลมที่พัดช้อนมาจากด้านล่างในบางช่วงของสนามก็ไม่ทำให้รถรู้สึกหน้าเบา (ยกเว้นตอนกระทุ้งคันเร่งแล้วหน้ามันลอยเอง) มันทำงานผสานกับการกดตัวของแฟริ่ง พร้อมระบบกันสะเทือนทั้งหน้า-หลัง ได้อย่างน่าประทับใจ
ก่อนเข้าโค้ง 3 ความเร็วที่พุ่งทะลุขึ้นไปกว่า 290 กม./ชม. ถูกลดลงอย่างฉับพลันจากการใช้เบรกหน้าหนักเต็มร้อย พร้อมลดเกียร์ต่ำลงมาเกียร์ 2 เหลือรอบเครื่องประมาณ 3,500-4,000 รอบ/นาที ยางหน้ารับน้ำหนักกดของทั้งคนและรถได้อย่างมั่นคง รักษาโมเมนตัมในการเคลื่อนตัวให้มีความต่อเนื่องแม้จะต้องแบกแรงกดทั้งหมด พร้อม ๆ ไปกับการเอียงรถกว่า 45° ซึ่งแก้มยางก็ไม่เสียเหลี่ยม ไม่ปลิ้น รวมถึงขอบยางยังสามารถรับน้ำหนักกดและทำงานร่วมกับโช้คในการกระจายแรงได้อย่างเหมาะสม จึงกลายเป็นความเกาะที่ควบคุมให้รถวิ่งอยู่ในไลน์ได้ตามต้องการ
ตรงจุดนี้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี HTSPC (High Tensile Super Penetrated Cord) มันเวิร์ค เพราะ Bridgestone ใช้ลวดเหล็กที่มีฉนวนยางด้านในซึ่งช่วยควบคุมอุณภูมิ และระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดภาวะยางระเบิด ไม่เกิดการสะสมความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมอายุของยาง นอกจากนี้ยังมีส่วนในการรักษารูปทรงและโครงสร้างของยาง ทำให้ขับขี่ได้มั่นคง และยังรองรับแรงกระแทกได้มากขึ้นอีกด้วย
เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางโค้งด้วยความเร็ว แรงกดก็กลายเป็นแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง ซึ่งน้ำหนักถูกส่งถ่ายไปอยู่ในระนาบแนวนอนของการเอียงรถ ยางหลังมีบทบาทสำคัญ เมื่อแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางเริ่มดันให้รถนั้นตั้งตรงจากความเร็วของรอบเครื่องยนต์ และเกียร์ที่ใช้มา ขอบยางยังสามารถรับน้ำหนักกดได้อย่างเต็มกำลัง เพราะแรงเหวี่ยงทำให้รถเอียงออกด้านนอก แต่ตัวเราต้านแรงนี้อยู่ด้วยการกดน้ำหนักตัวทั้งหมดสู่ด้านในของโค้งบนความเร็ว ตรงจุดนี้ยาง Bridgestone Battlax R11 ตอบสนองได้อย่างมั่นคง และเกาะแทร็คกริปแบบหนึบเกินความคาดหมาย
พอผ่าน Apex ก็ถึงเวลาเริ่มปล่อยม้าทั้ง 200 ตัวให้กระโจนลงล้อหลังด้วยการเปิดคันเร่ง ซึ่ง Battlax R1 สามารถรองรับการเร่งรอบในขณะที่รถยังเอียงอยู่ในองศาเกือบต่ำสุดโดยไม่มีอาการสลิปให้เห็น และนั่นมอบความมั่นใจจนออกมาเป็นเวลาต่อรอบที่ 1.40.6847 เหตุผลคือ ยางหลังนั้นมีคอมปาวด์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะทั้งความโค้งของยาง และความสูงของแก้มยาง ส่วนยางหน้าอาจรู้สึกว่าสูงกว่าซีรีส์ 60 อยู่บ้าง แต่เมื่อพิจารณาอย่างมีเหตุผลแล้วจะทราบได้ทันทีว่า ยางหน้านั้นรับน้ำหนักมากที่สุดสำหรับการขับขี่ในแทร็คที่ต้องเบรกหนัก, ยกคันเร่งก่อนเข้าโค้งและลดความเร็วลงจากช่วงที่อัดมาเต็มกราฟคือ 270-290 กม./ชม. หากใช้ยางที่มีซีรีส์เตี้ยๆ ลงวิ่งในแบบ Track day เราจะต้องเติมลมเพิ่มเข้าไปที่ยางหน้ามากกว่ายางหลัง แต่ถ้าเราใช้ยางที่มีซีรีส์หรือแก้มยางสูงเราไม่จำเป็นต้องเติมลมยางเพิ่ม คือใช้ตามสเปคได้เลย โดยไม่ต้องปรับโช้คหน้าให้หนืด/แข็งขึ้นมากมายอะไรนัก ยิ่งถ้าใช้เรซซิ่งไลน์จริง ๆ ในการแข่งขัน เราจะสามารถใช้เบรกหน้าได้หนักและจุ่มลึกเข้าไปในโค้งได้มากกว่ายางซีรีส์เตี้ย ๆ อีกด้วย
ตัวนี้เป็นยางสลิค Racing Battlax V02 หนึบมากบอกเลย
เมื่อต้องการมุมเลี้ยวที่กว้างขึ้น และใช้เบรกหน้าน้อยที่สุดในบางโค้ง จึงจำเป็นต้องวิ่งขึ้นไปบน Apex ตัวอย่างเช่น โค้ง 7-8 ที่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นไปบน Apex เพื่อเพิ่มมุมเลี้ยวให้กว้าง โดยลดเกียร์ต่ำ 1 เกียร์ บางครั้งเร็วเกินไปก็ใช้เบรกหลังเบา ๆ เพื่อคุมไลน์ แก้มยางสูงๆ ของ Battlax R11 สามารถคุมแรงกระแทกได้อย่างนุ่มนวลโดยไม่ทำให้สะบัด หรือกระแทกจนเสียการควบคุมเลยในทุกครั้ง
พอถึงโค้งสุดท้าย โค้ง 12 ความเร็วถูกลดลงจนเหลือรอบเครื่องหลักไม่กี่พันในเกียร์ 1 จังหวะเชนจ์หนักล้อหลังนิ่งไม่กวาด แรงที่เคยเหวี่ยงเราออกด้านนอก ก็กลับกลายเป็นดึงรถให้พับเข้าด้านใน (Centripetal force) เพราะความเร็วที่ใช้นั้นต่ำ ตรงจุดนี้ Bridgestone Battlax R11 รักษาสมดุลของยางทั้งหน้า-หลังในมุมแคบได้ดีโดยไม่หลุดขอบ พอกระทุ้งคันเร่งจากรอบเครื่องต่ำสุดเพื่ออัดเข้าทางตรงหน้าสนาม ล้อหลังก็ไม่มีอาการสไลด์หรือล้อหน้าไถลให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ตลอดการขับขี่แบบอัดหนัก 20 นาที ไม่มีแผ่ว ประมาณ 14-15 รอบสนาม Bridgestone Battlax R11 พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นยาง Racing อีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามอง และพิสูจน์ว่าเทคโนโลยี ULTIMAT EYE™ ของ Bridgestone นั้นมีความแม่นยำสูง เพราะตัวยางสามารถทำงานร่วมกับโครงสร้างและช่วงล่างของรถได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดความหนึบ พลิกรถได้ไว คม คล่องตัว และโครงสร้างยางมีความแข็งแรง จึงขับขี่ได้แบบมั่นใจตลอด Session แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเป็นยางสไตล์ Racing และมีคอมปาวด์ที่เหมาะกับการใช้งานในแทร็คนั้น ทำให้ Mileage หรืออายุการใช้งานของตัวยางอาจจะไม่ได้สูงมาก ซึ่งมันเหมาะกับสายสนามมากกว่าจะเป็นยางที่เหมาะสำหรับใส่ใช้งานทั่วไป
Bridgestone Battlax RS11
Battlax racing street RS11 ถูกวางโพสิชั่นมาในตำแหน่งยางสปอร์ต คือเป็นยางถนนตัวท็อปของ Bridgestone ซึ่งผลิตขึ้นจากเทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาเพื่อยางสำหรับการแข่งขันระดับโลกคล้ายกันกับ R11 แต่ปรับให้สามารถใช้งานบนถนนได้ด้วย ซึ่งหลายคนอาจคุ้นเคยกับยางรหัสนี้ดี เพราะเป็นยาง OEM ที่ติดรถสปอร์ตหลายรุ่นมานั่นเอง โดยนอกจากเรื่องของสมรรถนะแล้ว สิ่งที่เน้นในยางตัวนี้คือ “More Mileage” หรืออายุการใช้งานที่ยาวนาน ทนทานมากยิ่งขึ้น จึงมีการเพิ่มองค์ประกอบใหม่ ๆ เข้าไปไม่ว่าจะเป็น 3LC เนื้อยาง 3 โซน 2 คอมปาวด์ ซึ่งใช้เนื้อยางที่นิ่มกว่าในบริเวณขอบยาง ทำให้ยึดเกาะเวลาเข้าโค้งได้ดีขึ้น และใช้เนื้อยางที่แข็งขึ้นบริเวณส่วนกลางของยางเพื่อเพิ่มความทนทานในการขี่ทางตรง รวมถึงการใช้คอมพาวนด์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่สำหรับยางหลังเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน และเพิ่มปริมาณส่วนผสมซิลิกาในเนื้อยางมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่บนถนนเปียก โดยรวมมันจึงเป็นยางที่เน้นการขับขี่ที่สนุก สปอร์ตตี้คล่องตัวบนถนน ลงสนามก็สามารถ แต่อาจจะไม่ได้หนึบเท่ากับยางสลิค เพราะเนื้อและโครงสร้างของยางเน้นความแข็งแรงกว่ารุ่นที่ผ่านมา
สำหรับเซสชั่นนี้รถที่ใช้ยังเป็น CBR1000 RR-R แต่เป็นตัว SP ที่มาพร้อมโช้คไฟฟ้า Semi- active เหมือนเคยผมปรับโช้คไว้ที่ Medium และใช้โหมด P1 แต่เปิด Traction control ไว้ในระดับ 1 ด้วยเช่นกัน
คล้าย ๆ กับ R11 ยาง Battlax racing street RS11 รองรับการใช้ความเร็วช่วงสุดทางตรงอัดมาหมดปลอกได้แบบนิ่งดีไม่มีแกว่ง ลมยางที่เติมมาตามสเปก รองรับการเบรกหนักพร้อมลดเกียร์จาก 6 ลงมา 2 ก่อนเข้าโค้ง 3 ได้ดี เอียงรถได้เต็มข้อ คอมปาวนด์ของยางอาจจะไม่ได้ละมุนเหมือน R11 แต่การปรับอัตโนมัติของโช้คไฟฟ้าที่หรี่ Compression ลงในช่วงกลางโค้งยังช่วยให้แก้มยางนั้นสามารถเกาะแทร็คได้ดีมากยิ่งขึ้น จุดสังเกตุคือตอนเร่งรอบหลังจากผ่านจุดเอียงรถมากที่สุด (Griping point) แก้มยางนั้นมีอาการสลิปให้เห็นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งเปิด traction ไว้ที่ระดับ 1 ด้วยแล้ว จะรู้สึกว่าระบบทำงานตืด ๆ แค่เสี้ยววินาทีเดียว ก่อนเราจะกลับมาเปิดคันเร่งได้อย่างเต็มที่ นอกนั้นในส่วนอื่น ๆ ของสนาม Battlax racing street RS11 ก็ยังสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจ และทำงานเข้ากับระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรถได้แบบลงตัวมากทีเดียว
จุดสำคัญคือหากรถที่ใช้เป็นสปอร์ตเรือธงที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่าง ชุดเซ็นเซอร์ IMU หรือระบบกันสะเทือนไฟฟ้า เรายิ่งต้องเติมลมยางตามสเปค เพราะถ้าแรงดันลมยางต่ำ เวลาเอียงรถก็เอียงมากกว่าปกติ, เวลาเบรกยางก็จะเตี้ย และหน้ายางจะแบน ระบบกันสะเทือนก็งง ไม่แน่ใจว่าจะปรับตึงหรือปรับนุ่ม อัตราเร่งถูกดีเลย์, Traction control ก็ทำงานเกือบตลอด
Bridgestone Battlax V02, Battlax Hypersport S21-S22
สำหรับ Battlax V02 คงไม่ต้องพูดอะไรมากดูตามภาพเอาได้เลยเพราะมันคือยางสลิค ถ้า Battlax R1 ที่เป็นสลิคมีดอกขี่กับ CBR1000 RR-R จนได้เวลา 1.40.6847 งั้น V02 ก็คือหนึบได้ใจขึ้นไปอีก กับตัวยางที่มีดีกรี ครองแชมป์ Suzuka 8 Hours ในปี 2019 ถึง 14 ปีซ้อน เอาเป็นว่าทำเอาผมไฟติดจนเผลอลืมไปว่าตัวเองเลิกแข่งมานานก็แล้วกันครับ
Battlax Hypersport S21 รัดมากับ CBR650R ก็ยังเอียงรถต่ำได้สบาย ๆ
สุดท้ายคือ Battlax Hypersport S21 และ S22 โดยตัว S22 นั้นพัฒนาต่อยอดมาจาก S21 เดิม ซึ่งผมขี่เปรียบเทียบกันโดยใช้ CBR650R ทั้งคู่ สิ่งที่ Hypersport S22 ปรับปรุงขึ้นมาคือ ในส่วนของเนื้อยางและการออกแบบลายยางที่ทำให้สามารถ บังคับรถได้ดียิ่งขึ้นในการขับขี่ในทุกสถานการณ์ รวมทั้งยังลดการสึกหรอเพื่อระยะเวลาการใช้งานที่นานยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสปอร์ตที่ยังต้องการยางที่มีความคล่องตัว พลิกง่าย ฉับไว แต่ยังคงรีดน้ำได้ดี และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งจากที่ลองมาตัว S22 ที่รัดมาใน CBR650R ขับขี่ได้มั่นใจดีมากจนสามารถเอียงรถได้ตามต้องการ และตัวยางมีกริปที่ดีไม่แพ้ยางในตระกูล Racing เลยจนเราสามารถเดินคันเร่งออกโค้งได้อย่างมั่นใจ มันจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการยางสปอร์ตแบบครบจบในคู่เดียว ขี่ใช้งานได้ ขี่ทางไกลออกทริปได้ และใช้เริ่มต้นหัดขี่ในสนามก็สามารถ
Battlax Hypersport S22 พัฒนาขึ้นจาก S21 อย่างชัดเจนในส่วนของเนื้อยางและกริป
สรุปส่งท้าย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Bridgestone นั้นเป็นยางที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับการยอมรับและชนะรางวัลต่าง ๆ มามากมายทั่วโลก เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามานอกจากจะทำให้ตัวยางแข็งแรงตั้งแต่โครงสร้างแล้ว ยังมีคอมปาวนด์ และกริปที่เหมาะกับลักษณะการใช้งานในซีรีส์ต่าง ๆ ได้ลงตัวดีมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Mileage ที่ Bridgestone เน้นเข้าไปในยางหลายรุ่น ซึ่งทำให้มันใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือตัวยางสามารถจัดการกับแรงกระทำซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างเข้าโค้งทั้งความเร็วสูง และช่วงความเร็วต่ำได้อย่างหมดจด ทั้งยังทำงานร่วมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ และโครงสร้างของรถได้ดีแบบแค่ปรับ Riding Mode ให้เหมาะสม เท่านี้ก็มั่นใจได้ เอาเป็นว่าเขาเข้ามาทำตลาดในบ้านเราแบบเต็มสูบแล้ว อยากลองตัวไหน อยากสัมผัสหรือสอบถามเกี่ยวกับยางรุ่นอะไร ติดต่อเข้าไปได้เลยที่ Bridgestone Moto Thailand ครับ
: Kritchanut Boonchoeisak / Bridgestone Moto Thailand