0

TEST RIDE: BAJAJ Pulsar NS 200

การได้ขี่รถใหญ่ระดับ 1,000 – 1,500 ซีซี อาจเป็นความฝันของใครหลายคน แต่ก็ยังมีคนอีกหลายกลุ่มที่ต้องการรถในขนาดที่ย่อมลงมา อาจเป็นเพราะพวกเขาเพิ่งเริ่มต้นหรือแค่ต้องการรถที่ขี่ง่าย ใช้คล่อง แต่ยังมีกำลังดี ไว้ใช้เดินทางในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้รถจักรยานยนต์ระดับกลางในช่วง 500-900 ซีซี และรถเล็กตั้งแต่ 150-400 ซีซี จึงทำยอดขายในบ้านเราได้ดีมาอย่างต่อเนื่อง หลายรุ่นถูกปรับปรุง เพิ่มองค์ประกอบ และสเปกให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในเซกเมนต์ของรถเล็กที่เปรียบเสมือนออเดิร์ฟ ไว้เรียกน้ำย่อย เพราะถ้าผู้ใช้ลองแล้วติดใจ มันย่อมนำไปสู่เมนคอร์ส นั่นคือ รถในพิกัดที่ใหญ่กว่าของค่ายนั้น ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น

ท่ามกลางตลาดรถเล็กที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด Bajaj คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้ปีกว่า ๆ  โดยมี “วรูม ไทยแลนด์” เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ยักษ์ใหญ่จากอินเดียที่มีกำลังการผลิตรถกว่า 5 ล้านคันต่อปีแบรนด์นี้ สั่งสมความชำนาญด้านการผลิตสองล้อมาตั้งแต่ปี 1959 จนปัจจุบันกลายเป็นแบรนด์รถจักรยานยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมียอดจำหน่ายสูงถึง 35 ล้านคันในปี 2020 ที่ผ่านมา

คราวที่แล้วผมมีโอกาสได้ลอง Dominar 250 และรู้สึกชอบในความ Simple but effective “เรียบง่าย แต่ได้ใจ” ของรถจาก Bajaj ที่แม้การออกแบบหรือดีไซน์อาจไม่ได้ดูหวือหวานัก แต่ทุกองค์ประกอบกลับทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี โดยเน้นความใช้ง่าย ทนทาน ไม่ยุ่งยาก และที่สำคัญคือเรื่องของราคาที่ทำออกมาได้เวิร์คมาก… มาวันนี้เราอยู่กับ Bajaj Pulsar NS 200 เน็คเก็ตสปอร์ตระดับ 200 ซีซี ราคา 88,300 บาท กับการนำไปเจาะรายละเอียดบนระยะทาง 300 กม. และขับขี่แบบ Extreme ในสถานที่ปิด เพื่อให้ได้อารมณ์ของรถที่ออกแบบมาให้ขี่สนุก คล่องตัวในมุมเลี้ยว ต้น-กลาง มาดีอัตราเร่งติดมือ พร้อมปลายไหล ๆ สมกับเป็นเครื่องยนต์สปอร์ตขนาดเล็ก แต่เอ็กซ์ไซด์

หัวใจสำคัญ และโครงสร้างรวม

เครื่องยนต์ สูบเดียว 90° ความจุ 199.5 ซีซี SOHC สี่จังหวะ 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ใช้กระเดื่องกดวาล์วแบบ Rocker arm roller จุดระเบิดแบบ 3 หัวเทียน (Triple Spark) จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด BSVI FI DTS-i กระบอกสูบช่วงชัก 72.0 x 49.0 มม. สูบโตช่วงชักสั้น กำลังอัดสูงสุด 12.5:1 ให้แรงม้าสูงสุด 24 hp ที่ 9,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 18.74 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบ/นาทีเกียร์ 6 สปีด บาจาจเลือกใช้เฟรมเหล็กปั๊มน้ำหนักเบา Steel perimeter แข็งแรงสูงให้ตัวน้อยเพื่อการหักเลี้ยวที่คม แม่นยำ ระบบกันสะเทือนโช้คหน้าเทเลสโคปิค (Anti-friction Bending valve) ขนาดแกน 37 มม. โช้คหลังเดี่ยว Nitrox Mono มีซับแทงค์ ยางติดรถให้มาเป็น IRC แบบ Tubeless หน้า 100/80-17 หลัง 130/70-17 ระบบเบรกหน้า ดิสก์เดี่ยวขนาด 300 มม. จับคู่กับคาลิปเปอร์ Bybre 2 พอท แบบโฟลตติ้ง พร้อมระบบเบรก ABS ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เดี่ยว 230 มม. กับคาลิปเปอร์ 1 พอท

ทดสอบสมรรถนะ อัตราเร่ง และความเสถียรในรอบเครื่องยนต์ที่แตกต่าง

อย่างแรกที่ดูคือน้ำมันเครื่อง ซึ่งเติมมาอยู่ในระดับมาตรฐานของเครื่องยนต์ที่ใช้เบอร์ 10w40 ถึง 15w40 ได้ ระยะความตึงของโซ่ดึงเหมาะสมดี แรงดันลมยางเติมมาตามสเปกจากโรงงาน ระบบไฟด้านหน้าเป็นไฟคู่ที่มาพร้อมชุดไฟแบบโปรเจคเตอร์และหลอดไฟ LED เรือนไมล์เป็นเข็มผสมดิจิตอลหน้าตาไม่หวือหวาอะไรมาก แต่มีไฟชิพไลท์มาให้และบอกข้อมูลได้ครบถ้วน เครื่องสตาร์ทติดง่าย เงียบ ไม่มีเสียงจากชิ้นส่วนหมุนวนภายในมากวนใจ ความสูงเท้าทั้งสองข้างแตะพื้นได้สบาย สื่อถึงบาลานซ์ที่ดีและมอบความมั่นใจ

ระยะแฮนด์กว้างกำลังเหมาะกับช่วงไหล่ ไม่เกร็ง แขนทั้งสองข้างผ่อนคลาย หลังไม่ตั้งตรงจนเกินไป โดยยังงอเอวและหลังได้เล็กน้อยกำลังสบาย ช่วงขาทั้งสองข้างงอพอดี เท้าวางบนพักเท้าในตำแหน่งที่กำลังถนัด ไม่ต้องดันเท้าไปด้านหน้าหรือหลังเมื่อจอดรถ และพักเท้าไม่ดันน้องเมื่อเอาขาลง ระยะขาเบรก ขาเกียร์ ก้านเบรก ก้านคลัตช์ วางมาดี ไม่รู้สึกว่าอยากปรับอะไร เบาะนิ่มนั่งสบาย โดยเฉพาะเวลาขยับไปนั่งตรงตำแหน่งที่กว้างสุดในช่วงวิ่งทางตรง ถังน้ำมัน 12 ลิตร ออกแบบมาให้มีปีกกว้างรับกับรูปทรงของรถและมีช่วงคอดให้ไม่ต้องเกร็งขาเวลาหนีบ ไม่เมื่อยเวลาขี่ทางไกล

สตาร์ทเครื่องยนต์รอบเดินเบาอยู่ที่ประมาณ 1,700 รอบ/นาที ลองตวัดคันเร่ง รอบขึ้นเร็วพอตัวบ่งบอกถึงการมีอัตราเร่งในรอบต่ำที่ดี เสียงท่อไอเสียไม่ดังมากออกแนวนุ่ม ๆ ดูจากการใช้ลูกสูบไซส์ 72 มม. กับช่วงชัก 49 มม. ก็พอทราบได้ว่าเครื่องยนต์บล็อกนี้เดินเร็วแต่รอบไม่จัด เน้นแรงบิดต้น-กลาง เสริมด้วยปลายที่ไหลพองาม ถึง Bajaj จะได้ Know how มาจากการผลิตเครื่องยนต์ของ KTM DUKE 200 (เพราะถือหุ้นอยู่ถึง 48%) แต่พวกเขาก็ยังปรับทิศทางให้ตัวเครื่องตอบสนองต่อการใช้งานได้อเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น เราจะเห็นว่ากำลังอัดของเครื่องทั้งสองบล็อกมีความแตกต่างกัน Duke 14.5:1 ในขณะที่ Pulsar NS 200 ใช้ 12.5:1 ซึ่งทางเทคนิคแล้วกำลังอัดน้อยกว่าจะทำให้เครื่องไหลปลายกว่า แต่ก็ต้องทำงานผสานกับองศาแคมชาร์ฟที่ออกแบบให้ใช้งานได้อย่างครอบคลุม รอบไม่จัดนัก คุมความร้อนได้ดี และกำลังไม่ตกเมื่อซัดเต็มข้อในระยะทางไกล ๆ

ทำไมเครื่องยนต์ถึงสตาร์ทติดง่าย เพราะเครื่องบล็อกนี้ใช้หัวเทียนในการจุดระเบิดแบบ 3 ทาง (Digital Triple spark) หัวเทียนที่ใช้ถูกปรับให้มีขนาดเล็กตามสัดส่วนที่ควรเป็นในห้องเผาไหม้ หัวเทียนตัวกลาง-ซ้าย-ขวา มีขนาดและเบอร์ที่ถูกปรับให้เล็กลงเพื่อใช้ในห้องเผาไหม้ปริมาตรความจุ 200 ซีซี. ถึงแม้ตัวหัวเทียนจะทำงานพร้อมกันในการจุดระเบิด แต่สามารถแบ่งแยกตามขั้นตอนได้คือ หัวแรกจุดระเบิด,หัวที่สองเพิ่มแรงระเบิดดันให้ลูกสูบลงสู่ศูนย์ตายล่าง B.D.C. อย่างรวดเร็ว ส่วนหัวที่สามทำความสะอาดกระบอกสูบ ห้องเผาไหม้ รวมถึงไอเสียที่อาจหลงเหลือผ่านท่อไอเสียร่วมกับ Catalytic ให้สะอาดหมดจด

ในขณะที่ลูกสูบมีร่องน้ำมันออกจากรูในแหวนตัวล่างแบบสเปรย์เพื่อลดแรงเสียดทาน และทำให้ลูกสูบเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับลดความร้อนในกระบอกสูบ แหวนลาน (Oil ring expander) กวาดน้ำมันตัวนี้ทำหน้าที่ผสานกับการจุดระเบิดแบบสามหัวเทียนได้เป็นอย่างดี รวมถึงชุดแหวนลูกสูบ และตัวลูกสูบเองที่มีความแข็งแรงทนทาน ทุกอย่างจึงทำงานได้อย่างลื่นไหล คันเร่งแม้จะยังคงใช้สายเคเบิลเดี่ยว แต่ก็ให้ความรู้สึกรวดเร็วฉับไว คลัตช์เองก็เช่นกันถึงจะไม่ใช่ Slipper clutch แต่การเกาะจับนั้นไม่ธรรมดาเลย ส่งถ่ายกำลังงานสู่อัตราทดเกียร์ได้แบบไม่มีตกหล่น พร้อมการตัดต่อกำลังงานได้อย่างแม่นยำ

บีบคลัตช์เกียร์ 1 เข้าง่าย ระบบเกียร์ทำงานได้ลื่นไหล จากการใช้ลูกปืนทั้งซ้าย-ขวาในกระปุกเกียร์ ก้ามปูเกียร์ก็วิ่งลื่นในร่อง ตัวชุดเกียร์ยังใช้ลูกปืนเกียร์รอบจัดทั้งสองชุด เกียร์จึงเข้าง่าย คล่องตัว สำหรับเครื่องระดับ 200 ซีซี แน่นอนว่าเกียร์ที่ให้มาต้องสามารถพาน้ำหนักรวมให้เคลื่อนตัวไปด้านหน้าได้อย่างรวดเร็วในรอบต้น และสัมพันธ์กับการหมุนจากข้อเหวี่ยงในการเร่งเครื่องยนต์ อัตราทดจึงค่อนข้างชิด เพราะรอบเครื่องสูงสุดนั้นมีแค่ประมาณ 10,000 รอบ/นาที

Bajaj ทำชุดส่งกำลังจากข้อเหวี่ยงโดยคำนวณเฟือง Primary gear และ Primary clutch มาให้ลงตัวดีมาก พอเกียร์ต้น ๆ คือเกียร์ 1-2-3 มีความชิดรอบต่ำเลยมาเร็ว มีความติดมือ ทำให้เราใช้รอบเครื่องจากเกียร์ 4-5-6 ได้ยาวขึ้นตามคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ แต่ก็ไม่ควรเกิน 9,750 รอบ/นาที ความเร็วในช่วงทางตรงจึงพุ่งขึ้นไปแตะ 148-150 กม./ชม. ในช่วงวิ่งตามลมและรถยนต์ของทีมงาน แต่บางครั้งก็ได้ต่ำกว่านี้ขึ้นอยู่กับเส้นทางและกระแสลมที่พัดเข้ามาด้วย เครื่องยนต์รอบต้นนั้นมาตั้งแต่ 2,500 รอบ/นาที มีกำลังมากยิ่งขึ้นเมื่อรอบไต่ไปที่ 3,000 รอบ/นาที และรู้สึกถึงแรงดึงชัดเจนเมื่อรอบแตะ 5,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์บล็อกนี้ไม่รอรอบ เพาเวอร์แบนไม่กว้างแต่ขี่ง่าย เพราะเกียร์ต้น ๆ ชิดอยู่แล้วถือได้ว่าเป็นเกียร์ส่งกำลังเลยทีเดียว การเร่งแซงจึงสามารถทำได้ดีไม่มีปัญหา ไม่มีอาการสั่นมากวนใจ ขี่ได้ยาว ไม่เหนื่อย

จากกรุงเทพมาถึงตรงนี้บิดชิลล์ ๆ เลยครับ


มาถึงระบบกันสะเทือนที่ทำงานร่วมกับเฟรม ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ถึงเฟรมจะถูกออกแบบมาให้มีองศาคอ (Rake) เลี้ยวง่ายก็ตาม แต่ถ้าระบบกันสะเทือนไม่ดีมันจะไม่มีความเสถียร องศาคอ 24 องศา กับความลาดเอียงของกันสะเทือนหน้าที่เข้ากัน ส่งผลให้ Pulsar NS 200 เลี้ยวโค้งได้ค่อนข้างคมทีเดียว และที่สำคัญการซับแรงสะเทือนของโช้คทั้งหน้า-หลังก็สามารถทำได้หมดจด โดยไม่ผลักภาระให้ยาง ถึงแม้ยาง IRC ชุดนี้จะมีคอมปาวที่ค่อนข้างแข็งก็ตาม แน่นอนเครื่องยนต์ 200 ซีซี ใคร ๆ ก็ขี่หมด มันย่อมมอบความมั่นใจในการเดินทางให้เราใช้ความเร็วได้สูง ระบบเบรกจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่ง Pulsar ใช้คาลิปเปอร์ Bybre ทั้งหน้า-หลัง มันเอาอยู่แบบเหลือ ๆ สำหรับช่วงของการขับขี่เดินทางไกล Bajaj Pulsar NS 200 จึงผ่านเสียยิ่งกว่าผ่าน

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานที่ถ่ายทำสำหรับการขับขี่แบบ Extreme อดีตโรงสีแนะนำโดยน้อง เค ซึ่งเป็นสถานที่ปิด (ต้องขอบคุณน้องเค และเจ้าของสถานที่อีกครั้งด้วยครับ) เพราะนอกจากจะทำให้ได้ภาพในแสงและ Contrast สไตล์ดิบ ๆ เข้ากับคาแรคเตอร์ความเป็นเน็คเก็ตสปอร์ตแล้ว ผมยังได้ลองเล่นกับ Pulsar NS 200 แบบถึงใจ

*ทดสอบในสถานที่ปิดเพื่อแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของรถ เป็นความสามารถเฉพาะตัวของผู้ขับขี่ 


อย่างแรกที่ประทับใจเลยคือ สำหรับรถที่มีพิกัด 200 ซีซี เกียร์ต่ำรอบต่ำถือว่ากำลังมาเร็วได้ใจ เกียร์ 1-2 ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่รอรอบ สั่งให้ล้อหน้าลอยขึ้นมาได้ทันทีโดยใช้รอบเครื่องแถว ๆ 4,500-5,000 รอบ/นาที ขณะเดียวกันบาลานซ์ของรถที่แชร์น้ำหนักมา 50%-50% ก็มั่นคง เลี้ยงตัวง่าย น้ำหนักตกท้าย โช้คหลังก็รองรับไว้ได้โดยไม่ออกอาการ บนพื้นปูนขัดมันเก่า ๆ ก็ยังเปิดคันเร่งสั่งให้ล้อสไลด์ได้ตามสั่งทั้งซ้าย-ขวา หรือแม้กระทั่งทำ Stoppy ให้ล้อหลังลอยก็สามารถ ยอมรับเลยว่าทั้งช่วงล่างและระบบเบรกทำงานร่วมกันได้ดีจริง ๆ

อย่างที่บอกไป สำหรับผมรถจาก Bajaj มันให้ความรู้สึก Simple but effective การออกแบบ ดีไซน์อาจจะไม่หวือหวา แต่ทุกชิ้นส่วนทำงานตามหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี เน้นความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้จริง อย่าลืมว่ารถของเขาส่งขายไปทั่วโลก และที่สำคัญในประเทศอินเดียที่เป็นบ้านของ Bajaj เอง ถนนหนทางเอย อะไรเอย เขาก็ใช้รถกันแบบสมบุกสมบันไม่แพ้บ้านเรา (เผลอ ๆ ยิ่งกว่าเราเสียด้วยซ้ำ) ตัวรถมีแคชบาร์ กับขาตั้งคู่มาให้ ไม่ต้องกังวลเรื่องสายไฟหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์อะไรให้ซับซ้อน เรียกว่าแค่ดูแลพื้นฐาน เช็คลมยาง ก็บิดไปได้ยาว ๆ มีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างเดินทาง ช่างร้านซ่อมแถวไหนก็ทำได้ง่าย ๆ ถ้าคุณกำลังมองหารถใช้งาน รถที่มีสมรรถนะและสเปกดีแบบเน็คเก็ตสปอร์ตระดับ 200 ซีซี ที่ราคาไม่ถึงแสน เปิดใจแล้วไปลองสัมผัส ลองขี่กันได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Bajaj ทุกสาขาทั่วประเทศครับ

Word/Test: Saen Boonchoeisak
📷:เฉาก๊วย จำนาญศิลป์

Related