Honda Forza 350 The Exceptional Trip
Honda Forza 350 คือรถพรีเมี่ยมบิ๊กสกู๊ตเตอร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและได้รับความนิยมมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง ความขี่ง่ายใช้คล่องของรถออโตเมติก แบบบิดก็ไป เบรกก็หยุด ไม่ต้องกำคลัตช์เปลี่ยนเกียร์ให้วุ่นวาย ถูกนำมาผนวกเข้ากับเครื่องยนต์พิกัดใหญ่ ESP+ 329.6 ซีซี ที่หยิบยืมเทคโนโลยีมาจากรถสปอร์ตและแกรนด์ทัวร์ริ่งรุ่นใหญ่ของทางค่าย พร้อมรายละเอียดขององค์ประกอบที่ทำมาได้เนียน เนี๊ยบ ตามสไตล์ฮอนด้า มันคือสิ่งที่ทำให้ยอดจำหน่ายของรถออโตที่เปิดราคาเริ่มต้นมา 1.79 แสนบาทรุ่นนี้ เดินได้ดีตั้งแต่ตอนที่เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย
ถึงเราจะเคยทดสอบและรีวิว All New Honda Forza 350 2023 แบบเต็มๆ กันไปก่อนหน้านี้แล้ว (อ่านรีวิวได้ที่: (https://www.fastridesmag.com/image-post?slug=all-new-honda-forza-350-2023) แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปเล็กน้อยเพราะ ไทยฮอนด้า ชวนทัพสื่อมวลชนไปทดสอบสมรรถนะความแรงของ Forza 350 ในแบบการขับขี่ท่องเที่ยวกับกิจกรรม Honda Forza 350 The Exceptional Trip บนเส้นทางไปกลับ กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี กว่า 400 กม. ซึ่งแน่นอนว่าเราจะได้สัมผัสทั้ง อัตราเร่ง ความเสถียรในการทำงานของเครื่องยนต์ ความประหยัดน้ำมัน ประสิทธิภาพของระบบกันสะเทือน และรายละเอียดอื่น ๆ กันแบบเต็มฟีลลิ่ง
ทริปอาหารอร่อย ขี่รถสนุกในครั้งนี้ เริ่มออกสตาร์ทจาก ฮอนด้า บิ๊กวิง พระราม 5 ก่อนจะไปแวะพักกันยังจุดแรกที่องค์พระปฐมเจดีย์ ช่วงลัดเลาะฝ่าการจราจรออกจากกรุงเทพ รวมถึงวิ่งเข้าตัวเมืองนครปฐม ท่านั่งพร้อมองศาคอที่วางมา (Rake) 26.5 ° ระยะความลาดเอียงกันสะเทือนหน้า 89 มม. คือสิ่งที่ทำให้ตัวรถ ที่มีระยะฐานล้อยาว 1510 มม.สามารถลัดเลาะผ่านการจราจรได้อย่างคล่องตัว การควบคุมอาจมีความเบาและฉับไวเป็นรองรถเล็กบ้าง แต่กำลังและอัตราเร่งคือสิ่งที่ทำให้ Forza 350 สามารถขี่ได้ง่าย ทั้งจังหวะเร่งแซงและช่วงที่ต้องการทำความเร็ว โดยกำลังเครื่องยนต์นั้นมีมาให้ใช้แบบ “ตามมือ” ทันท่วงที ไม่ต้องมานั่งลุ้น
อย่างหนึ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ ESP+ บล็อกนี้ขี่สนุกคือระบบเกียร์ออโตเมติก ซึ่งถึงจะเป็นแบบใช้อัตราทดพูเล่ย์ในการขยายรัศมีชุดกำลังขับขั้นสุดท้าย แต่จังหวะกระแทกคันเร่ง การตอบรับกำลังของเครื่องยนต์ซึ่งเกิดจากการทำงานของคลัตช์ 5 ก้อนพร้อมชุดชามที่ใหญ่กว่าเดิม บวกกับพูเล่ย์ที่ขยายรัศมีทั้งหน้า-หลัง ส่งผ่านไปยังระบบขับเคลื่อนด้วยสายพาน (V-Matic Technology) ที่ออกแบบมาให้ลดการเสียดทานมันสอดคล้องกันทุกอย่างจนรู้สึกถึงความนุ่มนวล ไม่กระตุก (จะรู้สึกดึงกระชากจริงๆ ก็แค่ตอนที่เราตั้งใจตวัดคันเร่งเท่านั้น) เมื่อทุกขั้นตอนในการทำงานสูญเสียพลังงานน้อยลง จึงส่งผลให้เครื่องยนต์สามารถส่งกำลังขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่ ขี่แล้วรู้สึกว่าเกียร์แต่ละช่วงตามรอบเครื่องยนต์ได้ดี ไม่ตันในปลายเกียร์ คือมันมีความฉับไวและต่อเนื่องแบบเป็นรองระบบเกียร์ DCT ไม่มากเลย
ออกจากองค์พระปฐมเจดีย์มุ่งหน้าสู่ จุดเช็คอินถ่ายภาพที่โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี จากความเร็วหลัก 100-120 กม./ชม. ที่ใช้ขี่ตามขบวนมา มีบางจุดที่สามารถเร่งขึ้นไปแตะในช่วงปลายที่ 140-155 กม./ชม. ได้ ก็พบว่าอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 27 กม./ลิตร กว่าๆ ซึ่งถือว่าโอเคสำหรับทริปที่ขับขี่กันด้วยความเร็วยิงยาวลักษณะนี้ หากเป็นการใช้งานในเมืองช้าสลับเร็วช่วงถนนโล่งก็น่าจะประหยัดขึ้นไปอีก
จากโรงงานกระดาษไทยฯ เรามุ่งหน้าสู่ร้านแพแม่น้ำเพื่อเติมพลัง และไปดื่มกาแฟยามบ่ายกันอีกครั้งที่ร้าน Amatala Café (ที่ของหวานอร่อยมาก) เพื่อกันง่วง ก่อนจะขับขี่เดินทางไปยังเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ นั่นคือเขื่อนศรีนครินทร์ และเข้าพักที่ Leaf Lake Kan Resort มาถึงตรงนี้ก็ขี่กันมาเกือบๆ 200 กิโลเมตรแล้ว ท่านั่งแบบสบาย ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Honda Goldwing ของ Forza บวกกับเบาะนุ่มหนา พร้อมชิลด์ปรับไฟฟ้าที่มีระยะ 150 มม. เมื่อเลื่อนขึ้นมาให้บังลม ทำให้การขับขี่เป็นระยะทางไกลรู้สึกไม่เมื่อยล้าเลย การเพิ่มเพลาบาลานซ์เซอร์เข้ามาซึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งที่นำมาจากพี่ใหญ่อย่าง Goldwing เช่นกัน ยังช่วยลดการสั่นสะเทือนเมื่อเครื่องยนต์ทำงานในทุกย่านความเร็วรอบ ขี่นานก็ไม่รู้สึกสะท้านเสริมความสบายด้านการใช้งาน
พอเส้นทางเริ่มเพิ่มความคดเคี้ยวและมีความลาดชัน Forza 350 ก็ยังทำได้ดี ด้วยกำลังเครื่องยนต์ระดับ 350 ซีซี ช่วงแรงบิดรอบต่ำจึงมาเร็วและสามารถพาน้ำหนักรวมไปในย่านความเร็วรอบเครื่องยนต์สูง ๆ ได้ไว จนดันทางขึ้นเขาได้อย่างสบายและเมื่อเรากดคันเร่งอีกครั้งระบบเกียร์ออโตเมติกของ Forza ก็แสดงให้เห็นถึงความเนียนในการต่อเกียร์และลดเกียร์ พอรอบเครื่องยนต์สูงขึ้นความเร็วเพิ่มขึ้น พูเล่ย์หน้าจะขยายใหญ่ส่วนพูเล่ย์หลังจะลดรัศมีลง (เป็นเกียร์สูง) แบบเนียนๆ ในขณะที่ช่วงขาลงการลดเกียร์ต่ำก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แน่นอนความเป็นรถออโตเอนจิ้นเบรกย่อมมีน้อยอยู่แล้ว แต่ถึงจะมีการใช้เบรกเยอะ (บางช่วงต้องเบรกหนักทั้งหน้า-หลัง) แต่ตัวเบรกก็ไม่มีอาการเฟด หรือมีความร้อนสะสมจนทำให้เบรกเกิดการเกาะจับลดลงเลย ระยะฐานล้อที่ยาว ยังส่งผลให้การเอียงรถนั้นทำได้มั่นคงและเกาะถนนมากยิ่งขึ้นเมื่อระบบกันสะเทือนทำงาน ทั้งรับแรงกดของน้ำหนักที่ดันไปด้านหลังตอนขึ้นเขา และน้ำหนักกดจากด้านหลังมาด้านหน้าตอนลงเขา เมื่อรวมเข้ากับระบบ HSTC ซึ่งเป็นระบบ Traction control ของฮอนด้า ก็ยิ่งทำให้การกลับมาเปิดคันเร่งในช่วงออกโค้งนั้นสามารถทำได้อย่างมั่นใจ
จบระยะทางเกือบ 200 กม. ในวันแรกที่ Leaf Lake Kan Resort ก่อนจะขี่กลับกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น อย่างหนึ่งที่ทำให้ Forza 350 ขับขี่ทางไกลได้ดีแบบกำลังไม่มีตก คือระบบ Piston Oil Jet ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การหล่อลื่นดียิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยระบายความร้อนที่อยู่เหนือหัวลูกสูบ ดึงเอาความร้อนออกไปพร้อมๆ กับการคายไอเสียด้านบนอีกแรง กำลังงานจึงไม่ตกในปลายเกียร์ รถสามารถใช้รอบเครื่องยนต์สูง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับที่พัก Leaf Lake Kan Resort นั้นนอกจากจะเป็นรีสอร์ทที่ตกแต่งได้สวยแปลกตาในสไตล์ Tropical ฟีลใกล้ชิดธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยภูเขาแล้ว (โดยเฉพาะหลังคาที่ผมมองแล้วเหมือนโอเปร่าเฮ้าส์) ยังมีกิจกรรมทางน้ำให้ทำอีกมากมายทั้งแพและเรือคายัคด้วย
หลังนอนหลับสบาย รุ่งเช้าก็ถึงเวลาขี่กลับกรุงเทพฯ กันอีกเกือบๆ 200 กม. ซึ่งสำหรับผมมันเป็นเรื่องสบายมากๆ เส้นทางนี้ของทริปนี้เรียกได้ว่าชิลด์ๆ มีทั้งร้านกาแฟสุดฮิป สถานที่ถ่ายภาพแนวกราฟฟิตี้ และโรงงานกระดาษไทยฯ ซึ่งเป็นจุดแลนมาร์คที่ทุกคนต้องแวะเยี่ยมเยียนของจ.กาญจนบุรี ภาพของอดีตและความทรงจำที่ถูกเก็บรักษาไว้จนคนรุ่นหลังให้ความสำคัญ และกลายเป็น “สิ่งชูรสของภาพที่ถูกบันทึก” ขากลับเราอาจต้องรีบบึ่งกันซักหน่อยเพราะจะรีบกลับมา “เชียร์ให้ก้อง” ส่งแรงเชียร์ ก้อง สมเกียรติ จันทรา ซึ่งเจ้าก้องก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะสามารถคว้าอันดับที่ 9 ของสนาม มูเจลโล่ พร้อมคะแนนสะสมอันดับ 7 ของโลกในรุ่น Moto 2 มาครองไว้ได้อย่างน่าภาคภูมิใจอีกครั้ง สำหรับทริปการเดินทางครั้งนี้ต้องขอบคุณ ไทยฮอนด้า ทีม PR เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเป็นอย่างดีและสื่อฯ ต่างๆที่มาร่วมทดสอบทุกท่านมากๆ ครับ
Word/Test: Saen Boonchoeisak
📷: Thai Honda