0

New Triumph Speed 400

ตอน Speed 400 กับ Scrambler 400 x เปิดตัวทางออนไลน์ให้สื่อสายรถจักรยานยนต์ได้ยลโฉมเป็นครั้งแรก ผมเองรู้สึก “ว้าว” พอสมควรเมื่อได้เห็นทั้งรูปลักษณ์ และสเปกที่ไทรอัมพ์ใส่มาในรถระดับ 400 ซีซี สองรุ่นใหม่ ยิ่งพอมารู้ตอนหลังว่าราคาอย่างเป็นทางการที่เปิดมาทำให้มันเป็น “รถไทรอัมพ์ที่ค่าตัวไม่ถึง 2 แสน” (ถ้าเอาแบบเป๊ะ ๆ คือ Speed 400 – 157,900 บาท Scrambler 400 X – 179,900 บาท) ก็ยิ่งมั่นใจว่าการจับมือกันระหว่าง “ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์” กับ Bajaj Auto ในครั้งนี้ ต้องทำให้ตลาดรถโมเดิร์น คลาสสิกเกิดอาการ “ว้าวุ่น” อย่างแน่นอน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าไทรอัมพ์เอาจริงกับก้าวแรกสู่สังเวียนในตลาดระดับ Entry-level ครั้งนี้มากขนาดไหน (จริง ๆ จะเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็คงไม่ถูกนักเพราะเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน ไทรอัมพ์เขาก็มีชื่อเสียงจากรถคลาสสิกซีซีประมาณนี้มาอยู่แล้ว ที่คุ้นตาและดังมาก ๆ คงเป็น TR5 Trophy 500 ของเจมส์ ดีน กับ TR6 Trophy ที่เอลวิส เพรสลีย์ เป็นเจ้าของ) เอาเป็นว่ามันเป็นก้าวสำคัญของทางค่ายในการลงเจาะตลาดนักขี่หน้าใหม่ ด้วยรถโมเดิร์น คลาสสิก ระดับเริ่มต้นก็แล้วกัน…

อย่างที่กล่าวไปในรีวิวของ Scrambler 400x ถึง Speed 400 และตัว Scrambler จะใช้องค์ประกอบในหลายจุดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น เรือนไมล์, สวิตช์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งถังน้ำมันกับเครื่องยนต์สูบเดี่ยว แต่ทั้งสองรุ่นก็ยังเป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดท้าย โดยไม่ได้นำองค์ประกอบใด ๆ ของรถในไลน์อัพอื่นมาใช้เลย ของทุกชิ้นจึงถูกผลิตขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

ความแตกต่างของทั้งสองรุ่นนอกจากเรื่องของดีไซน์ภายนอก ยังถูกทำให้ชัดเจนผ่านสรีระ และองค์ประกอบในหลายจุดด้วยกัน โดย Speed 400 เน้นที่ความเป็นโมเดิร์น คลาสสิก โรดสเตอร์ ซึ่งให้การตอบสนองที่ฉับไว ขี่สนุก ด้วยเหตุนี้ล้อแคสอัลลอยด์น้ำหนักเบาที่ให้มาจึงเป็นขอบ 17 นิ้วทั้งหน้า-หลัง พร้อมรัดมาด้วยยาง Metzeler Sportec M9 RR tires ขนาดหน้า 110/70 และหลัง 150/60 ซึ่งเป็นยางสปอร์ต

Speed ยังใช้ระบบกันสะเทือนเดียวกับ Scrambler 400x นั่นคือโช้คหน้าหัวกลับขนาดแกน 43 มม. (เท่ารถระดับ 600 ซีซี เลย) และโช้คหลังเดี่ยวพร้อมซับแทงค์ ปรับ Preload ได้ ต่างกันตรงแค่ระยะยุบ ซึ่งของสปีดที่เป็นสายถนนยาวแค่ 140 มม. และ 130 มม. หน้า-หลัง เบาะให้มาเป็น flat seat  สีดำ นั่งสบาย เดินตะเข็บบริเวณด้านท้าย ถังน้ำความจุ 13 ลิตร สีสดสวยงาม พร้อมลายกราฟฟิกโลโก้ไทรอัมพ์สีขาวขนาดใหญ่บริเวณด้านข้าง เรือนไมล์ใช้เหมือนกันทั้งสองรุ่นเป็นอนาล็อคผสมดิจิตอล มาตรวัดความเร็วกลมขนาดใหญ่เป็นเข็มประกบข้างด้วยจอแสดงผลขนาดเล็กที่บอกเกียร์ และรอบเครื่องยนต์ พร้อมข้อมูลอื่น ๆ ครบถ้วน ส่วนช่องเสียบ USB type C วางซ่อนอยู่ด้านข้าง

เครื่องยนต์บล็อกใหม่ TR Series

ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์บล็อกใหม่รหัส TR Series ที่การออกแบบนั้นเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากรุ่นพี่ในไลน์อัพ โมเดิร์น คลาสสิก เลย คือมีการวางคลัตช์, ครอบคลัตช์, Primary shaft – Primary clutch และโซ่ราวลิ้น ไว้ฝั่งซ้าย ส่วน Final Drive โซ่สเตอร์, ชุดสตาร์ทเตอร์, แมกนีโต และระบบไฟจุดระเบิดแบบ Digital อยู่ด้านขวา ต่างกันแค่ของรุ่นใหญ่เขาเป็นเครื่องสูบคู่ Twin engine ส่วนเครื่องของรุ่นน้อง 400 ใหม่ทั้งสองคันเป็นสูบเดี่ยว Single Cylinder

เครื่องยนต์ 398 ซีซี ระบายความร้อนด้วยของเหลว DOHC 4วาล์ว/สูบ มิติกระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.0 x 64 มม. (Oversquare) ข้อเหวี่ยงทำมุมกับแคร้งเครื่องยนต์ 90° จุดระเบิด 180° ที่ T.D.C. แบบดิจิตอล กำลังอัดสูงสุด 12.0:1 จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดจาก Bosch เรือนลิ้นเร่งขนาด 38 มม. เชื่อมต่อกับระบบคันเร่งไฟฟ้า Ride by wire ระบบเกียร์ 6 สปีด มาพร้อมระบบ Assist and Slipper Clutch ให้แรงม้าสูงสุด 39.5 hp ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 37.5 นิวตันเมตรมาที่ 6,500 รอบ

ทดสอบสมรรถนะ Triumph speed 400

สำหรับการออกแบบภายนอกก็ต้องบอกว่ามันถอดแบบความคลาสสิกมาจากรุ่นพี่อย่าง Speed Twin และ Bonneville มาเลย เพียงแต่ถูกปรับสเกลลงมาให้มีขนาดเหมาะกับการเป็นรถระดับเริ่มต้นเท่านั้น เบาะนั่งต่ำสูงแค่ 790 มม. คร่อมแล้วเท้าทั้งสองด้านสามารถลงเหยียบพื้นได้เต็ม ๆ แฮนด์บาร์ตั้งกว้างกำลังดี พร้อมองศาคอที่วางมา 24.6 º (rake) ความลาดเอียงกันสะเทือนหน้า 102 มม. (Trail) และระยะฐานล้อที่ 1,377 มม. ซึ่งสั้นกว่า Scrambler 400x อยู่ 41 มม. คือสิ่งที่ทำให้ Speed 400 ซึ่งมีน้ำหนักพร้อมวิ่งแค่ 170 กก. รู้สึกคล่องตัว และสามารถมุดผ่านการจราจรได้อย่างมั่นใจ

เครื่องยนต์ใหม่ TR Series ติดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก แต่ยังแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ในเนื้อเสียงตามสไตล์ของไทรอัมพ์ โดยรอบเดินเบาอยู่ที่แถว 700-800 รอบ/นาที เครื่องสูบเดี่ยว ลูกโตโอเวอร์สแควร์ ข้อเหวี่ยงตั้ง 90° จุดระเบิดที่ 180° มันมาเร็วแบบไม่รอรอบ คือแตะคันเร่งปุ๊บมาทันที คันเร่งไฟฟ้า Ride-by-wire เองก็ตอบสนองได้แม่นยำแบบไม่มีดีเลย์ สั่งให้เรือนลิ้นเร่งขนาด 38 มม. เปิดตามการบิดของข้อมือได้อย่างแม่นยำ เมื่อรวมกับอัตราทดสเตอร์หน้า 15 หลัง 43 ฟัน ต้นจึงมาไว นุ่มหนัก ต่อเนื่องรับกับกำลังในรอบกลาง พร้อมไหลปลายไม่ตันในทุกเกียร์

เช่นเดียวกับ Scrambler 400 X ไทรอัมพ์จัดการกับกำลังอัด 12.0:1 พร้อมคอท่อใหญ่เกือบนิ้ว ด้วยปลายท่อไอเสียใหม่ที่ถึงแม้จะมีรูปทรงแตกต่างกันในทั้งสองรุ่น แต่ไส้ในนั้นถูกออกแบบมาให้บังคับการไหลออกของไอเสียให้มีแรงอั้นแบบเหมาะเจาะคงที่ตามรอบเครื่อง ต้นจึงไม่หาย ปลายไม่ห้อย แถมมาไวแบบมีกำลังติดมือในทุกช่วงของรอบ

ข้อเหวี่ยงยังเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ถูกกำหนดน้ำหนักและบาลานซ์มาให้มีแรงเฉื่อย (Inertia) ในการทำงานที่ช่วยให้แรงในรอบต่ำนั้นมาแบบนุ่ม เสถียร เครื่องยนต์จึงตอบรับได้ดีตั้งแต่ในรอบต้น จากช่วง 2,000 รอบ/นาที กระแทกคันเร่ง รอบตวัดไปถึงย่านพีคทอร์คซึ่งแรงบิด 37.5 นิวตันเมตร มาเต็มที่ 6,500 รอบ/นาที ยาวไปจนถึงช่วงที่แรงม้าสูงสุด 39.5 มาที่ 8,000 รอบ/นาที จนความเร็วไหลไปแตะช่วง 160 กม. กว่า ๆ เรียกว่าในเรื่องของเพอร์ฟอร์แมนซ์นั้นทั้งสองรุ่นผ่านฉลุย

จุดสังเกตอย่างหนึ่งคือ ถึงโมเมนตัมของกำลังจะมีความต่อเนื่องไม่ขาดช่วงจนรู้สึกว่ารถบิดสนุก แต่สิ่งที่ควรระวังสำหรับผู้ขับขี่ที่ชอบลากรอบเครื่องยนต์คือ อัตราทดเกียร์นั้นมีระยะค่อนข้างชิด พอใช้รอบเครื่อง และความเร็วสูงขึ้น เกียร์ก็จะยิ่งรู้สึกชิดขึ้นไปอีกเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนให้เร็วตาม ถ้าลากรอบ ลากเกียร์ จนรอบตัด เครื่องจะกำลังตกทันที เพราะฉะนั้นเราควรเปลี่ยนเกียร์ให้เร็วก่อนรอบตัดทุกครั้ง

ในช่วงที่ทางเริ่มคดเคี้ยวและใช้ความเร็วได้ พอเร่งแซงรถช่างภาพขึ้นมา จากเกียร์ 2 ขึ้น 3 ผมเปลี่ยนโดยไม่รอให้รอบพอดี พอไล่ขึ้นไป 4 เลยสามารถกดคันเร่งให้ความเร็วทะยานขึ้นไปแตะเกือบ 120 แทบในทันที ก่อนจะใช้รอบเครื่องยนต์ในเกียร์ 4-5 ดันยาว ไปเตะขึ้น 6 ตอนความเร็วเกือบ ๆ 140 ช่วง 8,000 รอบพอดี เพราะหากรอบเกินขึ้นไปกว่านี้กำลังจะเริ่มตกแล้ว (รอบตัดที่ประมาณ 9,000 – 10,000 ) แต่ละเกียร์จึงรู้สึกเชื่อมต่อกันอย่างสมูท โดยที่กำลังไม่ดรอปและปลายไม่ห้อย สามารถดันขึ้นทางลาดชันด้วยเกียร์สูงต่อไปได้เลย โดยที่เครื่องไม่แขก และไม่กระพือ จนกระทั่งไปเบรกและลดเกียร์ต่ำในช่วงทางลงก่อนเข้าโค้ง เชนจ์ลงเร็ว ๆ Assist and Slipper Clutch ก็ค่อย ๆ หน่วงกำลัง ดึงแบบนุ่ม ๆ รอบไม่ตึง ให้เอียงรถเข้าโค้งได้อย่างสบาย เรื่องระบบคลัตช์ ระบบเกียร์ นี่ไทรอัมพ์ไม่เคยทำให้ผิดหวังในรถทุกรุ่น มันสุขุมนุ่มลึกสไตล์ผู้ดีจริง ๆ

อีกอย่างที่ต้องเอ่ยปากชม และทำได้ดีเกินคาด คือเฟรมและระบบกันสะเทือน เฟรม Hybrid spine ใหม่ ทำงานเข้ากับช่วงล่างได้ลงตัวดีมาก ไม่ว่าจะใช้เกียร์สูงรอบต่ำ หรือเกียร์ต่ำรอบสูงในบางช่วง มันอาจมีกระด้างให้เห็นนิด ๆ แต่โช้คหน้าหัวกลับขนาดแกน 43 มม. และโช้คหลังเดี่ยวพร้อมซับแทงค์ ที่ลดระยะยุบลงมาให้เหมาะกับคาแรคเตอร์แบบ Roadster ของ Speed 400 ก็ยังสามารถรองรับน้ำหนัก ส่งถ่ายพร้อมกระจายแรงได้อย่างหมดจด คือมันมีความหนืดในการกดตัว และกระชับในการดันตัว รถจึงรู้สึกจิกโค้ง เกาะถนน และวิ่งได้นิ่ง เสถียร ในความเร็ว

ด้านการลดความเร็วก็ไม่ต้องลุ้น เพราะระบบเบรกหน้าเป็นคาลิปเปอร์เรเดียล 4 พอท จากแบรนด์น้อง Brembo อย่าง Bybre พร้อมจานดิสก์เบรกขนาด 300 มม. สามารถหยุดความเร็วได้อยู่มือ พร้อมตอบรับการไล่น้ำหนักเบรกได้อย่างแม่นยำ นอกจากระบบเบรก ABS แล้ว ในส่วนของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ไทรอัมพ์ยังใส่ Traction control เข้ามาช่วยเสริมความปลอดภัยอีกขั้น การขับขี่จึงรู้สึกมั่นใจทั้งในจังหวะลดความเร็ว และช่วงที่ต้องเดินคันเร่งออกโค้ง

สรุป

Speed 400 และ Scrambler 400 x ถือเป็นการบุกตลาดของรถโมเดิร์น คลาสสิก ระดับ Entry-Level และเติมเต็มช่องว่างในไลน์อัพของตนเองได้อย่างสวยงาม ถึงจะพัฒนาร่วมกับอินเดีย ประกอบในไทย หรือต่อให้ประกอบที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าเปิดราคามาได้ขนาดนี้ สเปกมาขนาดนี้ และคุมมาตราฐานงานประกอบได้เนียนตามสไตล์ไทรอัมพ์แบบนี้ ผมว่ายังไงก็คุ้ม และทำให้ทั้งสองรุ่นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับรถโมเดิร์น คลาสสิก ระดับเริ่มต้น Triumph Speed 400 ราคา 157,900 บาท รับประกัน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ถ้าสนใจ ไปลองจับ ลองคร่อมกันได้แล้ววันนี้ที่ผู้แทนจำหน่าย Triumph Motorcycle ทุกสาขาครับ

Related